บทคัดย่อ
การปนเปื้อนของสารมลพิษในแหล่งน้ำจัดว่าเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทย และในหลายภูมิภาคทั่วโลก เนื่องมาจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การเกษตรกรรมแนวใหม่ และการบริโภควัตถุที่มากเกินความต้องการของประชาชน ส่งผลให้เกิดผลกระทบหลายประการ เช่น แหล่งน้ำเน่าเสียจากภาวะ Eutrophication หรือแหล่งน้ำปนเปื้อนโลหะหนักและสารฆ่าแมลง ทำให้น้ำมีคุณภาพต่ำจนไม่สามารถนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคได้ การบำบัดสารมลพิษในน้ำสามารถทำได้ทั้งวิธีทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ สำหรับวิธีทางกายภาพและเคมี เช่น การแยกสารมลพิษโดยใช้ความร้อน (thermal desorption) การแลกเปลี่ยนไอออน (ion exchange) การกรองแยกผ่านเมมเบรน (membrane separation-filtration) หรือการบำบัดทางสารเคมี (chemical treatment) ล้วนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดี ใช้ระยะเวลาสั้น และเหมาะสมในกรณีที่สารมลพิษมีความเข้มข้นสูง แต่เทคนิคดังกล่าวมักจะมีค่าใช้จ่ายสูงทั้งในเรื่องของเครื่องมือและอุปกรณ์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงมีแนวความคิดที่จะนำพืชสีเขียวมาใช้บำบัดสารมลพิษ (Phytoremediation) ที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ซึ่งวิธีนี้จะสามารถบำบัดได้ทั้งสารมลพิษประเภทสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ มีต้นทุนต่ำ และประหยัดพลังงาน ผักตบชวา หรือ water hyacinth มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eichhornia crassipes (Mart.) Solms จัดอยู่ในวงศ์ Pontederiaceae ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการศึกษาวิจัยกันมาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศในเรื่องความสามารถในการบำบัดสารมลพิษที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ในกรณีของสารมลพิษอินทรีย์ พบว่าผักตบชวาสามารถบำบัดอินทรียวัตถุและธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส รวมทั้งสารฆ่าแมลงบางชนิดด้วย ส่วนสารอนินทรีย์พบว่า ผักตบชวาสามารถสะสมแคดเมียม โครเมียม ทองแดง ปรอท ตะกั่ว ซีเซียม สตรอนเทียม และยูเรเนียมได้ในปริมาณสูง ทั้งนี้กลไกในการบำบัดสารมลพิษแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นภายในต้นผักตบชวาน่าจะมีความแตกต่างกัน
นัยนันทน์ อริยกานนท์. (2561). ผักตบชวากับการบำบัดสารมลพิษในน้ำ. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 22 (ฉบับที่ 3), 49-55.
ผักตบชวากับการบำบัดสารมลพิษในน้ำ
การปนเปื้อนของสารมลพิษในแหล่งน้ำจัดว่าเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทย และในหลายภูมิภาคทั่วโลก เนื่องมาจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การเกษตรกรรมแนวใหม่ และการบริโภควัตถุที่มากเกินความต้องการของประชาชน ส่งผลให้เกิดผลกระทบหลายประการ เช่น แหล่งน้ำเน่าเสียจากภาวะ Eutrophication หรือแหล่งน้ำปนเปื้อนโลหะหนักและสารฆ่าแมลง ทำให้น้ำมีคุณภาพต่ำจนไม่สามารถนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคได้
ผักตบชวา หรือ water hyacinth มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eichhornia crassipes (Mart.) Solms จัดอยู่ในวงศ์ Pontederiaceae ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการศึกษาวิจัยกันมาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศในเรื่องความสามารถในการบำบัดสารมลพิษที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ในกรณีของสารมลพิษอินทรีย์ พบว่าผักตบชวาสามารถบำบัดอินทรียวัตถุและธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส รวมทั้งสารฆ่าแมลงบางชนิดด้วย ส่วนสารอนินทรีย์พบว่า ผักตบชวาสามารถสะสมแคดเมียม โครเมียม ทองแดง ปรอท ตะกั่ว ซีเซียม สตรอนเทียม และยูเรเนียมได้ในปริมาณสูง ทั้งนี้กลไกในการบำบัดสารมลพิษแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นภายในต้นผักตบชวาน่าจะมีความแตกต่างกัน
ผักตบชวาเป็นพืชน้ำล้มลุกอายุหลายฤดู มีถิ่นกำเนิดในแถบลุ่มน้ำแอมะซอน ประเทศบราซิล ผักตบชวาถูกนำเข้ามาในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2444 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยนำเข้ามาจากเกาะชวาในขณะเสด็จประพาสประเทศอินโดนีเซีย เริ่มแรกเริ่มได้ปลูกไว้หน้าสนามวังสระปทุม ต่อมาผักตบชวาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและแพร่พันธุ์จนเต็มวังสระปทุม จึงต้องนำไปปล่อยทิ้งไว้ที่คลองสามเสนหลังวัง พร้อมกับคลองอื่น ๆ เช่น คลองเปรมประชากร คลองผดุงกรุงเกษม เป็นต้น (วิกิพีเดีย, 2560) ในกรณีของประเทศไทย ผักตบชวาจัดเป็นพืชต่างถิ่นที่เข้ามาแพร่ระบาดจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศน์ เนื่องจากเป็นพืชที่มีความทนต่อสภาพแวดล้อมในช่วงกว้าง จึงสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อจำนวนผักตบชวามีมากเกินไปจะไปขัดขวางการไหลของน้ำ ส่งผลให้อัตราการไหลของน้ำในแม่น้ำลำคลองช้าลง และกีดขวางการระบายน้ำของประตูน้ำ นอกจากนั้นการที่มีผักตบชวาเจริญเกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่น จะบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องลงไปในน้ำ ทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำบางชนิดไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ และยังมีผลให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในแหล่งน้ำลดลง ทำให้สภาพทางเคมีของน้ำเปลี่ยนแปลงไป เกิดน้ำเน่าเสีย และท้ายสุดจะส่งผลกระทบถึงความหลากหลายทางชีวภาพของแหล่งน้ำในบริเวณนั้น
องค์ประกอบทางเคมีของผักตบชวา
ผักตบชวามี crude protein ในปริมาณปานกลาง มี nitrogen free extracts และ total ash ในปริมาณสูง (ตารางที่ 1) จึงจัดว่ามีธาตุอาหารเพียงพอต่อการเป็นอาหารสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว และแพะ รวมทั้งหมู และเป็ด (Hossain et al., 2015) นอกจากนี้ผักตบชวาสามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพได้ การวิจัยเพื่อศึกษาผลของการใช้ผักตบชวาเป็นปุ๋ยชีวภาพที่มีต่อการเจริญเติบโตของข้าวสาลี พบว่า ในชุดทดลองที่ปลูกข้าวสาลีและเติมปุ๋ยหมักจากผักตบชวาเป็นเวลา 15 วัน อัตราการงอกของเมล็ด ความยาวของราก ความยาวของส่วนยอด มวลชีวภาพ ปริมาณคลอโรฟิลล์ ปริมาณโปรตีน และน้ำตาลรีดิวซ์มีค่ามากกว่าในชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าผักตบชวามีศักยภาพที่จะนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักอินทรีย์ (Vidya and Girish, 2014)
การนำผักตบชวามาใช้ในการบำบัดสารมลพิษในน้ำ เนื่องจากเป็นพืชที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหลายประการ อาทิ มีความสามารถในการดูดซึมทั้งสารมลพิษอินทรีย์และอนินทรีย์ในปริมาณสูง เจริญเติบโตได้เร็วแม้ว่าจะอยู่ในน้ำเสีย เป็นพืชที่มีรากยาว และโครงสร้างของรากมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์แบบใช้ออกซิเจน ซึ่งจุลินทรีย์ที่อยู่บริเวณรากของผักตบชวาจะมีบทบาทในการเปลี่ยนอินทรียวัตถุ รวมทั้งธาตุอาหารต่างๆที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำเสียให้กลายเป็นสารประกอบอนินทรีย์ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ผักตบชวายังเป็นพืชที่มีความทนต่อสภาพแวดล้อมในช่วงกว้าง (ตารางที่ 2) การศึกษาความสามารถในการกำจัดคลอร์ไพริฟอส (chlorpyrifos) ของผักตบชวาของ Anudechakul และคณะ (2015) โดยทดลองปลูกผักตบชวาในสารละลายคลอร์ไพริฟอสที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 0.1, 0.5 และ 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็นเวลา 10 วัน พบว่า ผักตบชวาจะสะสมคลอร์ไพริฟอสไว้ที่รากมากที่สุดในวันที่ 3 ของการทดลอง ต่อมาคือที่ลำต้นในวันที่ 6 และที่ใบในวันที่ 8 แสดงให้เห็นว่ามีการเคลื่อนย้ายของคลอร์ไพริฟอสจากส่วนรากไปสู่ลำต้น และใบ ส่วนความสามารถในการกำจัดคลอร์ไพริฟอสของผักตบชวาที่ปลูกในสารละลายคลอร์ไพริฟอสที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร เกือบจะเป็น 100% ภายในเวลาเพียง 4 วัน ส่วนความสามารถในการกำจัดคลอร์ไพริฟอสของผักตบชวา ที่ปลูกในสารละลายคลอร์ไพริฟอสที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 0.5 และ 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่าเท่ากับ 91% และ 82% ตามลำดับ นอกจากนั้นในงานวิจัยนี้ยังพบว่าอัตราการกำจัดคลอร์ไพริฟอสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการทำงานร่วมกันระหว่างพืชและจุลินทรีย์ในเขตรากพืช ซึ่งสามารถแยกเชื้อจุลินทรีย์และได้ตั้งชื่อว่า Acinetobacter sp. strain WHA
กลไกของพืชในการกำจัดสารฆ่าแมลง เรียกว่า การย่อยสลายโดยพืช (Phytodegradation) เป็นกระบวน การที่พืชย่อยสลายสารอินทรีย์โดยอาศัยกลไกการดูดซึมสารมลพิษเข้ามาภายในต้น จากนั้นจึงปล่อยเอนไซม์ออก มาย่อยสลายสารมลพิษ จนเปลี่ยนรูปกลายเป็นสารที่มีความเป็นพิษน้อยลงหรือไม่มีความเป็นพิษ สารบางชนิดอาจถูกย่อยสลายได้ไม่สมบูรณ์ ในขณะที่สารบางชนิดอาจถูกย่อยสลายจนกระทั่งได้ผลผลิตสุดท้ายเป็นสารอนินทรีย์ การย่อยสลายโดยพืชประกอบไปด้วย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นแรกพืชจะดูดซึมสารมลพิษอินทรีย์ผ่านเข้าสู่ราก และขั้นที่สองจะเกิดการเผาผลาญสารอินทรีย์ในพืช ผลการวิจัยพบว่า ผักตบชวามีความสามารถในการบำบัดโลหะหนักในน้ำเสียจากอุตสาหกรรมเซรามิคได้หลายชนิด ซึ่งประสิทธิภาพการบำบัดเหล็ก สังกะสี แคดเมียม ทองแดง โครเมียม และโบรอนในน้ำเสียมีค่าเท่ากับ 99%, 98%, 96%, 88%, 83% และ 75% ตามลำดับ นอกจากนั้นงานวิจัยนี้ยังพบว่าโลหะหนักจะสะสมในส่วนรากมากกว่าลำต้นและใบถึง 10 เท่า (Elias et al., 2014) การศึกษาความสามารถของผักตบชวาในการบำบัดสังกะสีออกไซด์ขนาดนาโนเมตร โดยการปลูกพืชในสารละลายสังกะสีออกไซด์ที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 3.5, 5.0 และ 7.5 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็นเวลา 15 วัน พบว่าผักตบชวาสามารถบำบัดสังกะสีออกไซด์ขนาดนาโนเมตรได้เท่ากับ 93%, 91% และ 87% ตามลำดับ นอกจากนั้นยังพบว่าผักตบชวาที่ปลูกในสารละลายสังกะสีออกไซด์ที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 7.5 มิลลิกรัมต่อลิตร จะสะสมสังกะสีไว้ในราก ลำต้น และใบได้มากที่สุดเท่ากับ 945.83 + 73.69, 129.11 + 5.93 และ 61.44 + 3.13 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ (Bookrue and Ariyakanon, 2017) ความสามารถของผักตบชวาในการกำจัดอินทรียวัตถุ และธาตุอาหารที่ปนเปื้อนในน้ำได้มีการวิจัยกันทั้งในระดับห้องปฏิบัติการ ในเรือนทดลอง และในพื้นที่จริง ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายท่านพบว่าการปลูกผักตบชวาในน้ำเสียจะช่วยลดความเข้มข้นของไนโตรเจนทั้งหมด แอมโมเนียมไอออน แอมโมเนีย ไนเตรท ฟอสฟอรัสทั้งหมด และฟอสเฟตได้ นอกจากนั้นผักตบชวายังมีส่วนทำให้ค่าบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand) และของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids) ในน้ำลดลงอีกด้วย กลไกสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดธาตุอาหารของผักตบชวาคือ การกรองโดยรากพืช (Rhizofiltration) หมายถึงการที่รากพืชดูดหรือกรองสารมลพิษ ในกรณีที่สารมลพิษอยู่ในรูปของสารละลายที่ปนเปื้อนในน้ำ ซึ่งพืชจะสะสมสารมลพิษไว้ในรากเท่านั้น เมื่อทำการเก็บเกี่ยวพืชหลังจากทำการบำบัดสารมลพิษแล้ว จึงสามารถนำส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินของพืชไปใช้ประโยชน์ได้ สำหรับส่วนรากนั้นจำเป็นจะต้องนำไปบำบัดด้วยวิธีอื่นที่เหมาะสมต่อไป แม้ว่าผักตบชวาจะจัดว่าเป็นวัชพืชต่างถิ่นที่สร้างปัญหาในแหล่งน้ำของประเทศไทย แต่ก็เป็นพืชที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น เป็นอาหารสัตว์ ปุ๋ยหมักชีวภาพ และบำบัดสารมลพิษในน้ำ ผักตบชวาได้รับการวิจัยมาอย่างต่อเนื่องถึงประสิทธิภาพในการกำจัดโลหะหนัก สารฆ่าแมลง และธาตุอาหารที่ปนเปื้อนในน้ำเสีย ซึ่งการบำบัดน้ำเสียโดยใช้พืชได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ อาศัยกลไกตามธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามการบริหารจัดการ และควบคุมการเจริญเติบโตของผักตบชวาในระบบให้เหมาะสม ตลอดจนการตรวจสอบคุณภาพของน้ำเสียเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบำบัดน้ำเสียโดยใช้ผักตบชวาดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แนวทางการเขียนบทความ วารสารสิ่งแวดล้อม วารสารสิ่งแวดล้อม เป็นวารสารที่นำเสนอบทความวิชาการทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเนื้อหาความรู้ทางวิชาการที่ไม่เข้มข้นมากนัก เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคคลทั่วไป รูปแบบของการเขียนบทความเป็นในลักษณะดังนี้
ควรมีความยาวของบทความขนาดไม่เกิน 6 หน้า (รวมรูปภาพและตาราง) โดยการใช้ font ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 Single space ให้ส่งไฟล์รูปภาพ ที่มีขนาดรูปเท่าที่ต้องการนำเสนอจริง และมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 dpi หรือ ไฟล์ภาพต้นฉบับ
กำหนดให้ผู้เขียนบทความใช้ระบบ APA 6th ed โดยการอ้างอิงในเนื้อหาเป็นแบบ “ผู้แต่ง, ปีพิมพ์” และมีวิธีการเขียนรายการเอกสารอ้างอิง ดังนี้
เปิดรับบทความ/ข้อเขียนที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อมทุกด้าน โดยจัดส่งต้นฉบับผ่านทางระบบ Submission พร้อมระบุชื่อและนามสกุล สถานที่ติดต่อ และเบอร์โทรศัพท์ ของผู้เขียน/ผู้รับผิดชอบบทความ
วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เป็นวารสารที่ดูแลโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วารสารนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมออกสู่สาธารณชน ครอบคลุมในประเด็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการเมือง การจัดการของเสียและขยะ การป้องกันและควบคุมมลพิษ การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นโยบายสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ
วารสารสิ่งแวดล้อมเผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถนำเสนองานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและระดับสากล วารสารนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ที่สนใจในเรื่องนี้
วารสารสิ่งแวดล้อม เผยแพร่ในแบบรูปเล่มฉบับแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และเปลี่ยนการเผยแพร่เป็นรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ผ่านเวปไซต์ https://ej.eric.chula.ac.th/ โดยดำเนินการเผยแพร่วารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม และได้รับการจัดอันดับในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3
ในปี พ.ศ. 2566 วารสารสิ่งแวดล้อมได้ปรับปรุงการเผยแพร่บทความ เพื่อมุ่งสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index; TCI) ที่สูงขึ้นในระดับ Tier 2 ซึ่งประกอบด้วย การปรับความถี่ในการเผยแพร่เป็น 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับปรุงการจัดส่งบทความจากเดิมที่เป็นการจัดส่งต้นฉบับทางอีเมล์ eric@chula.ac.th เป็นจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) พร้อมเพิ่มเติมขั้นตอนการประเมินบทความในลักษณะ Double blind review จากผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่านก่อนการเผยแพร่ ซึ่งการประเมินจะมีความเข้มข้นและมีระบบระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
ISSN (PRINT) : 0859-3868
ISSN (ONLINE) : 2586-9248
ความถี่ในการเผยแพร่ : 2 เล่ม/ปี (มิถุนายน และ ธันวาคม)
สำนักพิมพ์ : สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
ฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี : Thai-Journal Citation Index (TCI), Tier 3 วารสารสิ่งแวดล้อมเป็นวารสารวิชาการที่เข้าใจถึงความสำคัญของจริยธรรมในการตีพิมพ์ทางวิชาการ ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ควรปฏิบัติตามแนวทาง “คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)” (https://publicationethics.org/) เครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ “อักขราวิสุทธิ์” จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจงหรือปฏิเสธ หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยทันที ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ วารสารจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิโดยปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review) สำหรับต้นฉบับทั้งหมดที่วารสารได้รับ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ประเมินบทความ กองบรรณาธิการประกอบด้วยหัวหน้ากองบรรณาธิการบริหาร และกองบรรณาธิการ โดยทั่วไปหัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ กองบรรณาธิการทำหน้าที่ในการเชิญผู้ประเมินเพื่อพิจารณาบทความซึ่งจะเรียกว่าบรรณาธิการประจำบทความ และอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย กองบรรณาธิการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาการวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมตามหัวข้อต่าง ๆ ของวารสาร จากขอบเขตการวิจัยของต้นฉบับที่ส่งมา หัวหน้าบรรณาธิการจะมอบหมายต้นฉบับให้กับกองบรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการประจำบทความมีหน้าที่ส่งต่อต้นฉบับให้กับผู้ประเมินที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม และจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายสำหรับการพิจารณษบทความที่มีศักยภาพในการตีพิมพ์ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการตีพิมพ์ บรรณาธิการวารสารทุกคนควรปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้ ผู้เขียนต้นฉบับควรจำกัดเฉพาะผู้ที่มีส่วนสำคัญต่อต้นฉบับ รวมถึงแนวความคิด การค้นคว้า การออกแบบการศึกษา การวิเคราะห์และให้บทสรุป และการเขียน นอกจากนี้ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญในการตีพิมพ์ต้นฉบับ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะช่วยให้ผู้เขียนปรับปรุงคุณภาพต้นฉบับและรับประกันว่าต้นฉบับมีค่าควรแก่การตีพิมพ์และจะนำไปสู่ความรู้ทางวิชาการ นอกจากนี้ ผู้ประเมินอาจมีอิทธิพลต่อต้นฉบับขั้นสุดท้ายพร้อมกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางต่อไปนี้
ที่มา : ดัดแปลงจาก Hossain et al (2015)
ที่มา : Rezania et al. (2015)
บทความอื่นๆ
คำแนะนำสำหรับผู้เขียน
ขอบเขตของเนื้อหา
ความยาวของบทความ
รูปในบทความ
การอ้างอิงทางบรรณานุกรม
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http:/.....
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการและที่ปรึกษาวารสารสิ่งแวดล้อม
FAQ
เกี่ยวกับวารสาร
สำหรับสำนักพิมพ์
สำหรับบรรณาธิการ
สำหรับผู้แต่ง
สำหรับผู้ประเมิน