บทคัดย่อ
การเสวนาวิชาการเรื่อง “นโยบายสิ่งแวดล้อมกับการเมืองไทย: เป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” จัดขึ้นโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีผู้แทนจากพรรคการเมือง 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ ร่วมด้วย ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การอ้างอิง: ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์, ปกฉัตร ชูติวิศุทธิ์, ศีลาวุธ ดำรงศิริ. (2562). ข่าวสิ่งแวดล้อม: เสวนาวิชาการเรื่อง “นโยบายสิ่งแวดล้อมกับการเมืองไทย: เป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน”. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 23 (ฉบับที่ 2).
ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์, ปกฉัตร ชูติวิศุทธิ์, ศีลาวุธ ดำรงศิริ
สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“นโยบายสิ่งแวดล้อมกับการเมืองไทย: เป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” จัดขึ้นโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 13:00-16:30 ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีผู้แทนจากพรรคการเมือง 3 พรรค ได้แก่ คุณศิริภา อินทวิเชียร (พรรคประชาธิปัตย์) ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ (พรรคเพื่อไทย) และ คุณนิติพล ผิวเหมาะ (พรรคอนาคตใหม่) ร่วมด้วย ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ (ผู้อำนวยการสถาบันฯ) เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จันทรา ทองคำเภา (รองผู้อำนวยการสถาบันฯ) เป็นผู้รับผิดชอบจัดโครงการเสวนา และ ดร.บัวหลวง ฝ้ายเยื่อ ทำหน้าที่พิธีกร ซึ่งการดำเนินรายการ ประเด็นการเสวนา และนโยบายที่นำเสนอในการเสวนา ได้แก่
ในการเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.บัณฑูร มาเป็นผู้บรรยายและร่วมเป็นผู้ดำเนินรายการ โดย ดร.บัณฑูร ได้ให้ข้อคบคิดมากมายเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อม และการขับเคลื่อนสู่ SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้ง 17 เป้าหมาย โดยเรื่องที่ ดร.บัณฑูร ได้นำบรรยาย มีดังนี้
• 1) สิ่งแวดล้อมใน “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”
• 2) สามโจทย์หลักเรื่องสิ่งแวดล้อมของไทย
o ประกอบไปด้วย 3 โจทย์หลัก คือ 1) ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม 2) การเข้าถึงและแบ่งปันทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม และ 3) ความขัดแย้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา
o ทั้ง 3 โจทย์นี้ เป็นปัญหาของการออกนโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยมาโดยตลอด รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาอีกหลายประเทศ เนื่องจากนโยบายส่วนใหญ่จะคำนึงถึงการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพราะส่งผลต่อการเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง เรื่องสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นขาที่ 3 ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงไม่ได้รับการสนใจเท่าที่ควร ประเทศไทยมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปอย่างมากมายเพื่อพัฒนาประเทศ แต่การจัดสรรทรัพยากรเหล่านั้นกลับไม่ได้รับการจัดสรรอย่างเป็นธรรม โดยประเทศไทยติดอันดับ 3 ของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก ทั้งในแง่ของการกระจายรายได้และโดยเฉพาะในประเด็นของการถือครองที่ดิน ซึ่งมีเพียง 10% ของคนไทยที่ครอบครองพื้นที่มากกว่า 100 ไร่/คน ในขณะที่อีก 90% ของประชากรมีที่ดินไม่ถึง 1 ไร่/คน และมีเกือบ 750,000 ครัวเรือน ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง เรียกได้ว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” โดยประชาชนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง จำเป็นที่จะต้องเช่าที่ดิน หรือต้องเข้าไปอาศัยในพื้นที่ป่า จนกลายเป็นปัญหาในหลายมิติ เช่น ความยากจน การบังคับใช้กฎหมาย หลักนิติธรรม สิทธิชุมชน เป็นต้น ดังนั้น การออกนโยบายสิ่งแวดล้อมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ด้วย
กลไกระดับนโยบายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ขาดการเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ทำให้เกิดการทับซ้อนกันในด้านนโยบาย และเมื่อเกิดปัญหาไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าใครจะต้องเป็นแกนนำในการแก้ไข ทำให้การแก้ไขล่าช้า จึงเกิดเป็นคำถามว่าจะบูรณาการนโยบายด้านต่างๆ เช่น การจัดการที่ดินและทรัพยากร การเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และด้านพลังงานอย่างไรให้เกิดความยั่งยืนในเชิงสิ่งแวดล้อม
- กระบวนการนโยบายสาธารณะ และประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม นโยบายต่างๆ จำเป็นที่จะต้องได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน และเป็นนโยบายสาธารณะที่ให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้ แต่ที่ผ่านมาการมีส่วนร่วมมักดำเนินการเพียงในนาม และไม่ถูกนำไปพิจารณาอย่างจริงจัง หรือถูกปัดตกไปเมื่ออยู่ในสภา จึงจำเป็นต้องพัฒนาให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายและอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
เครื่องมือบริหารและตัดสินใจทางนโยบาย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ปัจจุบันการทำ “การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม” (Environmental Impact Assessment; EIA) เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็เกิดปัญหามากมาย เนื่องจาก EIA เป็นการประเมินโครงการเพื่อการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น แต่ไม่ได้คำนึงถึงว่าโครงการนั้นควรจะต้องเกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านั้นหรือไม่ เพื่อแก้ปัญหานี้จะต้องอาศัย “การประเมินการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับยุทธศาสตร์” (Strategic Environmental Assessment; SEA) ซึ่งเป็นการวางแผนในระดับนโยบาย โดยดูถึงปัญหาหรือความต้องการของพื้นที่ เพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสม สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน แล้วจึงพัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองทางออกนั้นขึ้นมา แล้วจึงค่อยพัฒนาโครงการและทำ EIA ของโครงการนั้นต่อไป ทั้งนี้การทำ SEA มีการพูดถึงมาตั้งแต่สมัยที่คุณอธิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากเรื่อง SEA แล้ว ระบบการติดตามโครงการหลังการทำ EIA ควรเป็นอีกโจทย์หนึ่งของนโยบายสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาระบบยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความจำเป็น ถึงแม้เราจะมีศาลสิ่งแวดล้อมแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ประเทศไทยขาด คือ ระบบการสอบสวน การตีมูลค่า การบังคับใช้กฎหมาย และการดำเนินการทางคดีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
“เรื่องนโยบายสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถฝากใครได้ ต้องการความร่วมมือของทุกคน เพื่อผลักดันให้มันเป็นนโยบายสาธารณะ ไม่ใช่แค่การไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง”
• การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตในการส่งเสริมการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การเฝ้าระวัง และการควบคุมคุณภาพของสิ่งแวดล้อมแบบ Real time และการทำ Big data บูรณาการข้อมูลจากทุกกระทรวงเข้าด้วยกัน ให้แต่ละหน่วยงานสามารถประสานกันทางเครือข่าย Online และให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทั้งหมด รวมถึงเป็นช่องทางในการตรวจสอบความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐ
• การเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมายทางสิ่งแวดล้อม โดยส่วนใหญ่แล้วปัญหาความขัดแย้งทางด้านสิ่งแวดล้อมเป็นการขัดแย้งกันระหว่าง “คนตัวเล็ก กับ คนตัวใหญ่” ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างด้านระบบยุติธรรมทางด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มปริมาณเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ตำรวจสิ่งแวดล้อม ศาลสิ่งแวดล้อม และอัยการสิ่งแวดล้อม รวมถึงจะต้องจัดตั้งองค์กรกลางที่รับผิดชอบปัญหาของสิ่งแวดล้อมโดยตรง มีเป้าหมายให้ทุกองค์กรและทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นของรัฐ หรือเอกชนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานเดียวกัน
• การแก้ปัญหาคุณภาพอากาศ เริ่มจากการติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศตามจุดต่างๆ โดยประชาชนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยระบบ Online ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้
• การสื่อสารระเบียบและถ้อยคำทางกฎหมายต่างๆ ให้ง่ายต่อการเข้าใจและสามารถเข้าถึงโดยประชาชนทั่วไป
• การพัฒนากองทุนสิ่งแวดล้อมให้เป็นรูปธรรม เช่น การนำงบประมาณจากกองทุนน้ำมันมาใช้ ซึ่งปัจจุบันมีการเรียกเก็บจากค่าน้ำมันประมาณ 5 บาทต่อลิตร (สำหรับน้ำมันดีเซล)
• การพัฒนาด้านพลังงานสะอาดเป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งภาครัฐต้องผลักดันในทุกๆ ทาง และต้องทำตัวเองเป็นตัวอย่างและเป็นต้นแบบให้ประชาชนทำตาม
• ประชาชนจำเป็นต้องมีความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม และควรได้รับการศึกษาในทุกๆ ระยะ ตั้งแต่อนุบาล ประถม และมหาวิทยาลัย เพื่อปลูกฝังความตระหนักในการมีส่วนร่วมต่อสาธารณะและสิ่งแวดล้อม
• การทดแทนรถเมล์เก่าด้วยรถเมล์ไฟฟ้าจำนวนมาก การลดราคาค่าบริการสาธารณะ เพื่อให้คนหันมาใช้บริการขนส่งมวลชน แก้ปัญหามลพิษในเมือง รวมถึงส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันไบโอดีเซล
• มุ่งเน้นการส่งเสริมประชาคมสิ่งแวดล้อมไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีหลักเกณฑ์ 4 ข้อคือ 1) ความโปร่งใสของภาครัฐที่มีอำนาจในการดูแลสิ่งแวดล้อม 2) การดำเนินการกับภาคเอกชน 3) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และ 4) การสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง
• แนวนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมของพรรค มีอยู่ 6 ด้าน คือ
พลังงาน โดยจะยุติโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมด และส่งเสริมให้ภาคประชาชนและเอกชนสามารถผลิตและขายไฟฟ้าได้เองแบบ Net metering โดยจะตัดการผูกขาดด้านพลังงานของภาครัฐ เพื่อลดต้นทุนให้กับภาคเอกชน รวมถึงสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ไบโอดีเซล พลังงานทดแทนรูปแบบอื่น และการอนุรักษ์พลังงาน โดยการพัฒนาด้านพลังงานสะอาดเป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขประเด็นสิ่งแวดล้อมในด้านอื่นๆ ด้วย
2. ป่าไม้ จะเพิ่มพื้นที่ป่าเป็น 50% โดยแบ่งเป็นป่าต้นน้ำที่ห้ามมีการใช้ในเชิงพาณิชย์ (30%) และป่าชุมชนเพื่อให้ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์และร่วมอนุรักษ์ (20%) และจะจัดทำแนวเขตป่าให้ชัดเจน ฟื้นฟูพื้นที่ป่าโดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายการค้าสัตว์ป่าให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
3. การจัดการขยะ ส่งเสริมประชาชนให้ลดและแยกขยะ ลดการใช้พลาสติก จัดเก็บภาษีถุงพลาสติก รวมถึงการจัดตั้งธนาคารขยะ ส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงขยะและการแปรรูปขยะมาใช้ประโยชน์ เช่น ผลิตไฟฟ้า เชื้อเพลิงทดแทน พลังงานชีวภาพ และปุ๋ย
4. คุณภาพอากาศ จัดตั้งมาตรการฉุกเฉินเมื่อมีวิกฤตในเรื่องมลพิษทางอากาศ ปรับปรุงกฎหมายให้มีเจ้าภาพในการรับผิดชอบที่ชัดเจน ส่งเสริมมาตรการทางภาษี และสนับสนุนเทคโนโลยีการวัดคุณภาพอากาศ เพิ่มพื้นที่สีเขียวรวมถึงพื้นที่ควบคุมการขนส่ง ยกระดับยานยนต์และยกมาตรฐานไอเสีย ลดการเผาในพื้นที่การเกษตร รวมทั้งการติดตามคุณภาพอากาศที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานต่างๆ
5. ของเสียและน้ำเสียจากโรงงาน จะเน้นไปทางไปทางบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะการบำบัดน้ำเสียจากโรงงาน
6. การจัดการทรัพยากรทางทะเล ควบคุมการทำประมงพาณิชย์แนวชายฝั่งให้เป็นระบบและส่งเสริมให้ภาคประชาชนที่อยู่อาศัยในแนวชายฝั่งมีส่วนร่วม รวมถึงการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว
“ไม่มีข้อยกเว้นในเรื่องสิ่งแวดล้อม” โดยทุกโครงการที่เกิดขึ้นจะไม่มีการสร้างข้อยกเว้นเพื่อเร่งการพัฒนา ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะได้มีส่วนร่วมในการเห็นชอบ และจะมีการทบทวน รวมถึงยกเลิกข้อยกเว้นต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
• การใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มช่องทางการเข้าถึงของประชาชน ทั้งการค้นคว้า ตรวจสอบ และร้องเรียนปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงปลูกฝังภาคประชาชนให้มีส่วนร่วม เพื่อให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง
• ภาครัฐควรเป็นผู้จัดทำ EIA เพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซง และควรมีหลายภาคส่วนเข้าร่วมในการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งให้มีการจัดทำ SEA อย่างเป็นรูปธรรม
• ในการพัฒนานโยบายและโครงการต่างๆ จำเป็นต้องนำ สิทธิและสวัสดิภาพของสัตว์และสิ่งแวดล้อม มาพิจารณาร่วมด้วยเสมอ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาทั้งต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม
• นโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เนื่องจากท้องถิ่นรู้จักตัวเองและปัญหาของตัวเองดีที่สุด จึงควรให้อำนาจในการตัดสินใจว่าพื้นที่เหล่านั้นจะเดินไปในทิศทางไหน แก้ปัญหาอะไร โดยวิธีใด โดยเห็นว่าควรที่จะต้องเปลี่ยนวิธีการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งปัจจุบันเงินภาษีที่เกิดขึ้นในพื้นที่จะต้องถูกส่งกลับมาที่ส่วนกลางก่อนที่จะจัดสรรไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยไม่ได้ถูกนำมาแก้ปัญหาในพื้นที่ของตัวเอง การเปลี่ยนแปลงวิธีจัดเก็บภาษีและการกระจายอำนาจนี้จะทำให้ท้องถิ่นมีเงินในการแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้เองและเหมาะสม
• การขับเคลื่อนเทคโนโลยีสะอาด การยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง การพัฒนาวัสดุทดแทน รัฐบาลจะต้องเป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนโดยสนับสนุนเงินวิจัยให้กับภาคเอกชน เพื่อที่รัฐบาลจะได้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรและสามารถส่งต่อสิทธิบัตรเหล่านั้นให้กับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้สามารถลดต้นทุนการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด และทำให้เกิดการแข่งขันได้ รวมถึงการนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้ในองค์กรของรัฐบาล
• จัดทำกองทุน EIA การพัฒนาการจัดทำ EIA ควรปรับเปลี่ยนจากเดิมที่โครงการเป็นผู้ว่าจ้างซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เป็นกลาง เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบของภาครัฐจะต้องเป็นผู้ว่าจ้างในการจัดทำ EIA และตรวจสอบการดำเนินการ โดยผลักดันให้กองทุนเป็นตัวกลางในการจัดหาบริษัทที่ได้มาตรฐาน และเป็นผู้ประเมินความเสียหายในอนาคต
• การเปิดเผยข้อมูลโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ทั้งสัญญา นโยบาย สัมปทาน และอื่นๆ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และความโปร่งใสของการทำงาน
• ส่งเสริมการจัดการขยะโดยการแยกขยะที่ต้นทาง เพื่อให้ของเสียต่างๆ สามารถถูกนำกลับไปรีไซเคิลได้ และส่งเสริมการนำขยะมาทำเป็นเชื้อเพลิงทดแทน
• ส่งเสริมการปลูกกาแฟใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อทดแทนการปลูกอ้อยและข้าวโพด ซึ่งจะเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และลดปัญหาการเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ซึ่งจะนำไปสู่การลดปัญหาคุณภาพอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
• ผลักดันให้เกิดกฎหมายอากาศสะอาด ลดค่าขนส่งมวลชน และเพิ่มการเข้าถึงของขนส่งมวลชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้บริการสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
• ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อนำเงินรายได้กลับมาพัฒนาพื้นที่ป่าไม้ให้มีความสมบูรณ์
จากงานเสวนาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงมิติใหม่ของการเมือง ที่ได้ชูประเด็นและนโยบายสิ่งแวดล้อมในการหาเสียง แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนในการเสวนาครั้งนี้ คือ การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน (Integrated development) การแก้ปัญหาด้านกฎหมายที่ทับซ้อนกัน ทำให้แต่ละกระทรวงทำงานด้วยกันลำบาก รวมถึงการปรับตัวและการจัดการเมื่อเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม (Disaster management and adaptation) เป็นต้น
• พรรคอนาคตใหม่ เน้นนโยบายการมีส่วนร่วมของประชาชน และความโปร่งใส่ในการทำงาน รวมถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเฉพาะพื้นที่ โดยจะกระจายอำนาจและงบประมาณให้กับองค์กรท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการเอง
นโยบายทางสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายและชัดเจน มีการพิจารณาแหล่งเงินทุนรองรับไว้แล้ว