บทความ: การจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคาร - รูปแบบการใช้เวลาภายในอาคารของคนไทยในเขตเมือง
Indoor air quality management - In a view of time spent in indoor environments of urban Thai people
ในปี 2563 ประชากรไทยที่อาศัยในเขตเมืองมีจำนวน 35.9 ล้านคนเพิ่มขึ้น 1.71 เปอร์เซ็นต์จากปี 2562 [1] ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มของ ‘กระบวนการกลายเป็นเมือง หรือ Urbanization’ และส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของคนในเมืองที่อยู่ภายในอาคารยาวนานขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในที่พักอาศัย สถานที่ทำงาน ห้างสรรพสินค้า ตลาด ร้านอาหาร สถานพยาบาล สถานบันเทิง ศาสนสถาน เป็นต้น รวมถึงยานพาหนะในการเดินทางทั้งประเภทส่วนตัวและสาธารณะจัดเป็นสิ่งแวดล้อมปิด (Indoors) เช่นเดียวกัน
ประเทศไทยมีการสำรวจที่อาจอนุมานข้อมูลมาเทียบเคียงได้ จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ [5] สำรวจเวลาที่ใช้โดยเฉลี่ยต่อวันของประชากรอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (ชั่วโมงต่อวัน) ทั่วราชอาณาจักร พบว่าประชากรไทยใช้เวลาเฉลี่ยในการทำงานและการเรียนรู้ 7.70 ชั่วโมง และเวลาที่ใช้ในการดูแลและดำเนินชีวิตส่วนบุคคล 12.57 ชั่วโมง ถ้าอนุมานว่ากิจวัตรทั้งสองสิ่งเกิดขึ้นในอาคาร ดังนั้นประชากรไทยใช้เวลาถึง 20.27 ชั่วโมงในอาคารในแต่ละวันหรือคิดเป็น 84 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมดใน 1 วัน ดังนั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความจำเพาะและแม่นยำมากขึ้นสำหรับการใช้ประโยชน์ด้านการประเมินการรับสัมผัสมลพิษอากาศในอาคารและนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพของคนเมืองจากมลภาวะอากาศในอาคาร ทางหน่วยปฏิบัติการวิจัยการจัดการคุณภาพอากาศในอาคาร (HAUS IAQ Research Unit) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยพัฒนามหานคร มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้จัดทำการสำรวจเวลาที่ใช้ในกิจวัตรประจำวันของคนไทย อย่างไรก็ดีเนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนา 2019 ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2562 และสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่การระบาดระลอกเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นมา ส่งผลให้มีการล็อคดาวน์พื้นที่/จังหวัดทำให้รูปแบบการใช้เวลาในอาคารแต่ละสถานที่ของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์ปกติก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 โดยสิ้นเชิง เช่น การทำงานจากที่บ้าน (Work from home) เป็นต้น ดังนั้นการสำรวจในครั้งนี้จึงจำแนกเป็น การใช้เวลาในอาคารของคนไทยในช่วงสถานการณ์ปกติที่ยังไม่เกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (ก่อน พ.ศ. 2563) และในช่วงสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (ระหว่าง พ.ศ. 2563 ถึง 2564)
ผลการศึกษามีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 280 คน แบ่งเป็น เพศหญิง 58.1 เปอร์เซ็นต์ และ เพศชาย 41.9 เปอร์เซ็นต์, ข้อมูลช่วงอายุของผู้ตอบแบบสอบถาม อายุระหว่าง 18-34 ปี 56.8 เปอร์เซ็นต์ และ 34-64 ปี 43.2 เปอร์เซ็นต์ อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร 44.3 เปอร์เซ็นต์ และ จังหวัดอื่น ๆ 55.7 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่พักอาศัยในบ้านเดี่ยว ผลการสำรวจการใช้เวลาในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในที่พักของตนเองและไม่ใช่ที่พักของตนรวมทั้งการเดินทางด้วยยานพาหนะลักษณะต่าง ๆ แสดงดังรูปที่ 1 ในช่วงเวลาที่ยังไม่เกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (ก่อน พ.ศ. 2563) และรูปที่ 2 ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (ระหว่าง พ.ศ. 2563 ถึง 2564)
ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถามใช้เวลาในห้องนอนมากที่สุดโดยเฉลี่ย 9 ชั่วโมงต่อวัน รองลงมาคือ ห้องทำงาน และ ห้องนั่งเล่น ในขณะที่ใช้เวลาในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย มากที่สุดคือ สำนักงานและสถานศึกษา รองลงมาคือ ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล/ร้านอาหาร/สถานบันเทิงกลางคืน ยานพาหนะแบบปิดที่ใช้เวลามากที่สุดคือ รถยนต์ส่วนบุคคล ในขณะที่การเดินเป็นการโดยสารแบบเปิดที่คนใช้เวลาเฉลี่ยมากที่สุด เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอกคือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อเวลาที่ใช้และต่อสถานที่ที่ทำกิจกรรมในแต่ละวันของคนเมืองแสดงดังตารางที่ 1 การใช้เวลาในที่พักอาศัยในแต่ละวันนานขึ้น เช่น ในห้องนอนจาก 9 ชั่วโมงเพิ่มเป็น 10 ชั่วโมง และห้องทำงานจาก 2 ชั่วโมงเพิ่มเป็น 3 ชั่วโมง ส่วนกิจกรรมที่ทำในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่ที่พักอาศัยนั้น ใช้เวลาลดลงทั้งหมดรวมถึงเวลาที่ใช้โดยสารยานพาหนะประเภทสาธารณะลดลงเช่นกัน ข้อมูลผลสำรวจนี้อาจสะท้อนให้เห็นว่าโอกาสที่บุคคลได้รับสัมผัสมลพิษอากาศในแต่ละวันเกิดขึ้นในขณะทำกิจกรรมเมื่ออยู่ในอาคารหรือสิ่งแวดล้อมปิดเกือบทั้งหมด ส่วนการสัมผัสมลพิษอากาศในขณะทำกิจกรรมภายนอก เช่น การโดยสารแบบเปิดคิดเป็นสัดส่วนเพียง 6 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในแต่ละวันเท่านั้น
กระบวนการกลายเป็นเมืองนั้นส่งผลให้จำนวนประชากรที่อาศัยในเมืองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี รูปแบบการใช้ชีวิตคนเมืองอยู่ในอาคารเกือบทั้งวันจนมีคำกล่าวว่าคนเมืองเป็น ‘มนุษย์พันธุ์ในอาคาร หรือ Indoor species’ การกำหนดนโยบายด้านสุขภาพของประเทศไทยจึงควรให้ความสำคัญกับสุขภาวะของคนในอาคารมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติเป้าหมายที่ 3 การสร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย การจะทำให้คนในอาคารมีสุขภาวะที่ดีจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องเริ่มจากการสร้าง ‘อาคารสุขภาพดี หรือ Healthy building’
[1] Macrotrends LLC. (2022). Thailand Urban Population 1960-2022. https://www.macrotrends.net/countries/THA/thailand/urban-population#:~:text=Thailand%20urban%20population%20for%202020,a%201.84%25%20increase%20from%202017.
[2] Jenkins, P. L., Phillips, T. J., Mulberg, E. J., & Hui, S. P. (1992). Activity patterns of Californians: Use of and proximity to indoor pollutant sources. Atmospheric Environment, 26A, 2141-2148.
[3] Layton, D. W. (1993). Metabolically consistent breathing rates for use in dose assessments. Health Physics, 64, 23-36.
[4] U.S. Environmental Protection Agency. (2021). Why Indoor Air Quality is Important to Schools. https://www.epa.gov/iaq-schools/why-indoor-air-quality-important-schools
[5] สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2558). การสำรวจการใช้เวลาของประชากร พ.ศ. 2558 (กรกฎาคม 2557 – มิถุนายน 2558). http://www.nso.go.th/sites/2014/Pages/สำรวจ/ด้านสังคม/การศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม/การใช้เวลาของประชากร.aspx
[6] Zhang, Y. (2020, November 1-4). Burden of Diseases and Control Approaches. In Plenary Session: Indoor Air Pollution. The 16th Conference of the International Society of Indoor Air Quality & Climate (Indoor Air 2020), Virtual Conference.