บทความ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับ บทบาทการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคผลิตไฟฟ้าของไทย

บทคัดย่อ

ถึงแม้ประเทศไทยจะยังไม่มีกฏหมายบังคับเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ด้วยการติดตามใส่ใจในสิ่งแวดล้อมทุกๆด้าน กฟผ. ได้เริ่มเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลายปีก่อนที่ประเทศไทยจะประกาศเจตจำนงเข้าร่วม NAMAs นโยบายอย่างเป็นทางการฉบับแรกบรรจุอยู่ในนโยบายสิ่งแวดล้อมของ กฟผ. ประกาศใช้ เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.2010 ให้ กฟผ. ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (Demand-side management: DSM) และโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน


บทความ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับ บทบาทการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคผลิตไฟฟ้าของไทย

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีความจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต มนุษย์และสัตว์หายใจออกปลดปล่อยก๊าซ CO2 ออกสู่บรรยากาศ ต้นไม้ใช้ CO2 ในกระบวนการสร้างอาหารหล่อเลี้ยงลำต้น ในอากาศบนผิวโลกที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ มีปริมาณก๊าซ CO2 เท่ากับร้อยละ 0.03 โดยปริมาตร ซึ่งถือได้ว่ามีปริมาณเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก๊าซไนโตรเจน (N2) และออกซิเจน (O2) ที่มีอยู่เท่ากับร้อยละ 78 และ 21 โดยปริมาตรตามลำดับ

การมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศมากเกินไป จะส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น น้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้นจากก๊าซ CO2 ละลายน้ำกลายเป็นกรดคาร์บอนิก (H2CO3) เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในทะเล รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ ก่อให้เกิดทั้งความแห้งแล้ง น้ำท่วม พายุและภาวะคลื่นความร้อน (Heatwave) ที่รุนแรง [1]

การพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของมนุษย์ได้เริ่มปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม (The Industrial Revolution) โดยเริ่มขึ้น ณ ประเทศอังกฤษ ในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ก่อนปี ค.ศ.1750) ขณะนั้น ประเทศอังกฤษยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรมไม่ต่างจากประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศในปัจจุบัน อาชีพที่สร้างรายได้หลักของชาวอังกฤษในเวลานั้นคือ การทำไร่ทำสวนและเลี้ยงสัตว์ มีเพียงประชากรส่วนน้อยที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรม การเหมืองแร่และการค้าขาย พลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่พึ่งพาแรงงานคน แรงงานสัตว์หรือกังหันน้ำ

ผลการริเริ่มบุกเบิกในอดีตทำให้ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ในปัจจุบันล้วนถูกจัดเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว การยกระดับประเทศให้ก้าวล้ำเกิดควบคู่มากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมากมาโดยตลอด เนื่องจากการเผาไหม้ถ่านหินและเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น นอกจากจะให้ความร้อนสำหรับใช้งานแล้ว ยังมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) และก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ออกมาด้วย ในขณะที่การพัฒนาทางฝั่งประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนานั้นยังตามหลังอยู่มาก อีกทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ปริมาณโดยรวมยังไม่เทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว

จากข้อมูลสถิติโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) พบข้อมูลทางสถิติที่ต้องให้ความสนใจคือ เมื่อปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (รูปที่ 1) มีปริมาณมากขึ้น ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกโลกโดยเฉลี่ย (รูปที่ 2) และอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ (รูปที่ 3) จะสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน ความสัมพันธ์นี้เห็นได้เด่นชัดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า ภาวะโลกร้อน (Global Warming) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง [4]




รูปที่ 3 อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติโดยเฉลี่ย วัดที่ระดับผิวดินและผิวน้ำ

ภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) เพื่อบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในระดับสากล ซึ่งหลากหลายชาติทั่วโลกได้ให้ความสนใจ จนเกิดพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ขึ้นในปี ค.ศ.1997  และความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในปี ค.ศ.2015 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศที่จะลดก๊าซเรือนกระจก 7 ชนิด ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) ก๊าซในกลุ่มไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ก๊าซในกลุ่มเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) มีเพียงประเทศสหรัฐอเมริกาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของโลกไม่เข้าร่วมลดก๊าซเรือนกระจกระดับโลกนี้

โดยประเทศที่พัฒนาแล้วจะให้การสนับสนุนด้านการเงิน เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาดำเนินงานตามเป้าหมายและวิธีการที่กำหนดเองเรียกว่า “แผนการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ” (Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs) ระหว่างปี ค.ศ.2015 ถึง ค.ศ.2020 และ “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contributions: NDCs) ระหว่างปี ค.ศ. 2020 ถึง ค.ศ.2030 เป้าหมายหนึ่งเดียวที่ 197 ประเทศ ทั่วโลกมีร่วมกันในความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อปี ค.ศ.2015 คือ ต้องควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับอุณหภูมิในช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส 


ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนา  มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี ค.ศ.2011 เท่ากับ 305.52 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) โดยประมาณ ในจำนวนนี้มีส่วนจากภาคผลิตไฟฟ้าเท่ากับ 86.87 MtCO2e [6] ถึงแม้ว่าประเทศ ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมาก คิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 1 ของทั่วโลกเท่านั้น แต่ด้วยประเทศไทยคำนึงถึงความสำคัญของการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงตอบรับเข้าร่วม NAMAs ในปี ค.ศ.2014 โดยแสดงเจตจำนงที่จะลดก๊าซเรือนกระจกลงเท่ากับร้อยละ 7-20 ภายในปี ค.ศ. 2020 หรือคิดเป็น 24 - 74 ล้านตันฯ  (ประเทศไทยจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าร้อยละ 7 หากได้รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ) จากนั้นในปีถัดมา ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายร่วมลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องภายใต้ NDCs เท่ากับร้อยละ 20-25 ภายในปี 2030 (ประเทศไทยจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าร้อยละ 20 หากได้รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ)


การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลักดูแลการผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงประเทศ มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้ารวม 16,071.13 เมกะวัตต์หรือร้อยละ 37.87 ของทั้งประเทศ ส่วนอื่นๆนั้นรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนทั้งรายใหญ่และรายเล็ก บริษัทในเครือและโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การดำเนินงานของ กฟผ. ให้ความสำคัญใน 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านความมั่นคงทางพลังงาน (Security) เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ (2) ด้านเศรษฐกิจ (Economy) ราคาค่าไฟฟ้าต้องเหมาะสม สามารถสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ชาวไทยมีความเป็นอยู่ที่ดี และ (3) ด้านสิ่งแวดล้อม (Ecology) ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดก๊าซ CO2

ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ.2014 กฟผ. ได้ยกระดับความสำคัญเรื่องก๊าซเรือนกระจก โดยประกาศนโยบายเฉพาะสำหรับการดำเนินงานการลดก๊าซเรือนกระจกของ กฟผ. อย่างรอบด้าน ให้เกิดการสนับสนุนส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าที่สะอาด และมีประสิทธิภาพสูงในการปรับปรุงและพัฒนาโรงไฟฟ้า ดำเนินแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของ กฟผ. ทั่วทั้งองค์กร ให้เข้าสู่ระดับการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเหมาะสมในภาคพลังงานของประเทศ

การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกภายใน กฟผ. ขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก กฟผ. ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงประชุมรับทราบสถานการณ์และตัดสินใจร่วมกับระดับปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด นอกจากจะผลักดันให้ กฟผ. ประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ชุดที่ 10 และ 11 เป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามกลไก CDM ประเภทการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสนับสนุนให้เกิดการขึ้นทะเบียนโครงการ CDM อื่นๆอีกหลากหลายประเภทแล้ว ยังเป็นวิสัยทัศน์ที่สร้างโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ด้านเทคนิคเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลและการคำนวณก๊าซเรือนกระจกเป็นพื้นฐานจนสามารถต่อยอดคิดวิธีคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจกระดับมาตรการร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. สำหรับรายงานข้อมูลต่อภาคีอนุสัญญา UNFCCC  ช่วยเหลือภารกิจลดก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศภายใต้ NAMA และ NDC ได้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 อีกด้วย

สำหรับปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกปี ค.ศ.2017 และ 2018 นั้น ด้วยความใส่ใจที่จริงจัง กฟผ. มีความมั่นใจว่าจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยไปกว่าปีที่ผ่านมา ในวันนี้ การร่วมมือเชิงวิชาการระหว่าง กฟผ. และ อบก. ที่มุ่งผลักดันภาคผลิตไฟฟ้าให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม การสร้างความรู้ความเข้าใจเกิดผลสำเร็จเป็นวิธีการคำนวณระดับมาตรการที่ได้มาตรฐาน กฟผ. มีความยินดีที่จะแบ่งปันประสบการณ์และองค์ความรู้กับภาคผลิตไฟฟ้าเอกชน นับเป็นโอกาสอันดีที่ กฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชนทั้งรายใหญ่ รายเล็ก และสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าได้เริ่มประชุมหารือร่วมกันไปแล้ว 2 ครั้งในปี ค.ศ. 2018 เป็นการเริ่มต้นเชื่อมโยงความร่วมใจลดก๊าซเรือนกระจกในภาคผลิตไฟฟ้าของไทยในอนาคต

เอกสารอ้างอิง
[1] Hannah Ritchie and Max Roser. (May 2017). CO2 and other Greenhouse Gas Emissions
[2] Mark Easton, Geraldine Carrodus, Tim Delaney, Kate McArthur, Richard Smith. (Oct 2013). Oxford Big Ideas Geography / History 9 Australian Curriculum. Chapter 5 The Industrial Revolution.
[3] Christopher Washington. (Mar 2015). The Industrial Revolution and Its Impact on European Society. Chapter 20 The Industrial Revolution in Great Britain.
[4] Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC). (2014). Assessment Report (AR5) Synthesis Report: Climate Change 2014
[5] Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC). (2014). Assessment Report (AR5) Climate Change 2014: Mitigation of Climate Change
[6] Office of Natural Resources and Environmental Policy and Planning. (Dec 2015). Thailand’s First Biennial Update Report. 

 

 

 

 

 

 

 

บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ วารสารสิ่งแวดล้อม

1

ขอบเขตของเนื้อหา

วารสารสิ่งแวดล้อม เป็นวารสารที่นำเสนอบทความวิชาการทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเนื้อหาความรู้ทางวิชาการที่ไม่เข้มข้นมากนัก เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคคลทั่วไป รูปแบบของการเขียนบทความเป็นในลักษณะดังนี้

  1. หากเป็นการนำเสนอความรู้ที่ได้จากผลงานวิจัย ควรประกอบด้วย ความสำคัญและที่มาของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการศึกษาในรูปแบบของหลักการศึกษาพอสังเขป ผลการศึกษาพร้อมการอภิปรายผลผล สรุปนำเสนอความรู้ที่ได้จากการวิจัย
  2. หากเป็นบทความเชิงวิจารณ์ บทความวิชาการ ซึ่งเรียบเรียงจากความรู้ต่าง ๆ และ ผลงานวิจัยของผู้อื่น ควรประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ การวิเคราะห์และวิจารณ์ ซึ่งมีการนำเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมถึงแนวโน้ม หรือข้อดีและข้อเสีย หรือข้อสรุปอย่างชัดเจน

2

ความยาวของบทความ

ควรมีความยาวของบทความขนาดไม่เกิน 6 หน้า (รวมรูปภาพและตาราง) โดยการใช้ font ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 Single space

3

รูปในบทความ

ให้ส่งไฟล์รูปภาพ ที่มีขนาดรูปเท่าที่ต้องการนำเสนอจริง และมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 dpi หรือ ไฟล์ภาพต้นฉบับ

  1. หากเป็นรูปที่นำมาจากแหล่งอื่นต้องอ้างอิงแหล่งที่มา
  2. หากเป็นรูปที่ถ่ายมาเอง ให้ระบุชื่อเป็นของผู้เรียบเรียงบทความ

4

การอ้างอิงทางบรรณานุกรม

กำหนดให้ผู้เขียนบทความใช้ระบบ APA 6th ed โดยการอ้างอิงในเนื้อหาเป็นแบบ “ผู้แต่ง, ปีพิมพ์” และมีวิธีการเขียนรายการเอกสารอ้างอิง ดังนี้

  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http:/.....

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการและที่ปรึกษาวารสารสิ่งแวดล้อม

เปิดรับบทความ/ข้อเขียนที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อมทุกด้าน โดยจัดส่งต้นฉบับผ่านทางระบบ Submission พร้อมระบุชื่อและนามสกุล สถานที่ติดต่อ และเบอร์โทรศัพท์ ของผู้เขียน/ผู้รับผิดชอบบทความ

  • ภุมรินทร์ คำเดชศักดิ์
  • กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
  • ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
  • นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
  • บัวหลวง ฝ้ายเยื่อ
  • ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์
  • วิไลลักษณ์ นิยมมณีรัตน์
  • วัชราภรณ์ สุนสิน
  • ศีลาวุธ ดำรงศิริ
  • อาทิมา ดับโศก

วารสารสิ่งแวดล้อม

เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม โดยจัดพิมพ์เผยแพร่ฉบับแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2539 และเริ่มเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ปีที่ 23 ปี 2562

ส่งบทความ

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เป็นวารสารที่ดูแลโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วารสารนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมออกสู่สาธารณชน ครอบคลุมในประเด็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการเมือง การจัดการของเสียและขยะ การป้องกันและควบคุมมลพิษ การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นโยบายสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

วารสารสิ่งแวดล้อมเผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถนำเสนองานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและระดับสากล วารสารนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ที่สนใจในเรื่องนี้

วารสารสิ่งแวดล้อม เผยแพร่ในแบบรูปเล่มฉบับแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และเปลี่ยนการเผยแพร่เป็นรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ผ่านเวปไซต์ https://ej.eric.chula.ac.th/ โดยดำเนินการเผยแพร่วารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม และได้รับการจัดอันดับในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ในปี พ.ศ. 2566 วารสารสิ่งแวดล้อมได้ปรับปรุงการเผยแพร่บทความ เพื่อมุ่งสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index; TCI) ที่สูงขึ้นในระดับ Tier 2 ซึ่งประกอบด้วย การปรับความถี่ในการเผยแพร่เป็น 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับปรุงการจัดส่งบทความจากเดิมที่เป็นการจัดส่งต้นฉบับทางอีเมล์ eric@chula.ac.th เป็นจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) พร้อมเพิ่มเติมขั้นตอนการประเมินบทความในลักษณะ Double blind review จากผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่านก่อนการเผยแพร่ ซึ่งการประเมินจะมีความเข้มข้นและมีระบบระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย

ISSN (PRINT) : 0859-3868
ISSN (ONLINE) : 2586-9248
ความถี่ในการเผยแพร่ : 2 เล่ม/ปี (มิถุนายน และ ธันวาคม)
สำนักพิมพ์ : สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
ฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี : Thai-Journal Citation Index (TCI), Tier 3

สำหรับสำนักพิมพ์

วารสารสิ่งแวดล้อมเป็นวารสารวิชาการที่เข้าใจถึงความสำคัญของจริยธรรมในการตีพิมพ์ทางวิชาการ ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ควรปฏิบัติตามแนวทาง “คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)” (https://publicationethics.org/) เครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ “อักขราวิสุทธิ์” จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจงหรือปฏิเสธ หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยทันที ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ วารสารจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิโดยปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review) สำหรับต้นฉบับทั้งหมดที่วารสารได้รับ

สำหรับบรรณาธิการ

บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ประเมินบทความ กองบรรณาธิการประกอบด้วยหัวหน้ากองบรรณาธิการบริหาร และกองบรรณาธิการ โดยทั่วไปหัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ กองบรรณาธิการทำหน้าที่ในการเชิญผู้ประเมินเพื่อพิจารณาบทความซึ่งจะเรียกว่าบรรณาธิการประจำบทความ และอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย กองบรรณาธิการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาการวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมตามหัวข้อต่าง ๆ ของวารสาร จากขอบเขตการวิจัยของต้นฉบับที่ส่งมา หัวหน้าบรรณาธิการจะมอบหมายต้นฉบับให้กับกองบรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการประจำบทความมีหน้าที่ส่งต่อต้นฉบับให้กับผู้ประเมินที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม และจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายสำหรับการพิจารณษบทความที่มีศักยภาพในการตีพิมพ์ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการตีพิมพ์ บรรณาธิการวารสารทุกคนควรปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้

  • บรรณาธิการจะต้องยึดถือหลักจริยธรรมในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับวารสาร
  • บรรณาธิการจะต้องเลือกผู้ประเมินที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องและไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับผู้เขียนต้นฉบับ
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ประเมินให้ผู้เขียนทราบ และในทางกลับกัน
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ จากต้นฉบับก่อนตีพิมพ์
  • ข้อมูลหรือความคิดเห็นของผู้ประเมินจะต้องเก็บเป็นความลับและไม่ควรนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

สำหรับผู้แต่ง

ผู้เขียนต้นฉบับควรจำกัดเฉพาะผู้ที่มีส่วนสำคัญต่อต้นฉบับ รวมถึงแนวความคิด การค้นคว้า การออกแบบการศึกษา การวิเคราะห์และให้บทสรุป และการเขียน นอกจากนี้ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

  • ต้นฉบับจะต้องไม่มีการตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ก่อนที่จะส่งมายังวารสารสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์บางส่วนที่รายงานในต้นฉบับที่ส่งมาได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการ จะต้องระบุและนำเสนอเป็นหมายเหตุในต้นฉบับ
  • ผู้เขียนสามารถส่งต้นฉบับไปยังวารสารอื่นได้เฉพาะเมื่อต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยวารสารเท่านั้น
  • ผู้เขียนจะต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับแล้ว
  • ผู้เขียนทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนการลอกเลียนแบบ
  • เป็นหน้าที่ของผู้เขียนในการตอบสนองต่อความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมดของผู้วิจารณ์ หากผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นใด ๆ ของผู้วิจารณ์ ผู้เขียนควรให้คำอธิบาย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบรรณาธิการประจำบทความที่ได้รับมอบหมายหรือหัวหน้ากองบรรณาธิการ
  • วารสารสิ่งแวดล้อมปฏิบัติตามนโยบายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการประพันธ์ ควรขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงผู้เขียนจากผู้เขียนทุกคน หากผู้เขียนคนใดต้องการเปลี่ยนลำดับของผู้เขียน เช่น เพิ่ม/ลบผู้เขียน หรือเปลี่ยนแปลงผู้เขียนที่เกี่ยวข้อง

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญในการตีพิมพ์ต้นฉบับ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะช่วยให้ผู้เขียนปรับปรุงคุณภาพต้นฉบับและรับประกันว่าต้นฉบับมีค่าควรแก่การตีพิมพ์และจะนำไปสู่ความรู้ทางวิชาการ นอกจากนี้ ผู้ประเมินอาจมีอิทธิพลต่อต้นฉบับขั้นสุดท้ายพร้อมกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางต่อไปนี้

  • ผู้ประเมินควรปฏิเสธคำขอตรวจสอบหากงานวิจัยของต้นฉบับไม่อยู่ในความเชี่ยวชาญของตน
  • ผู้ประเมินควรแสดงความคิดเห็นตามความเชี่ยวชาญของตนเท่านั้น และไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  • ผู้ประเมินจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลหรือผลลัพธ์จากต้นฉบับก่อนที่จะตีพิมพ์
  • ผู้ประเมินควรแจ้งบรรณาธิการหากสงสัยว่าต้นฉบับมีผลงานซ้ำกับบทความที่ตีพิมพ์อื่น ๆ