บทคัดย่อ
การผังเมืองในประเทศไทยได้พัฒนามานานหลายทศวรรษ จากการวางผังเมืองเดิมที่เป็นระบบผังมืองแบบอังกฤษ (British Planning System) กระทั่งได้รับอิทธิพลการวางผังเมืองสมัยใหม่ซึ่งเป็นระบบอเมริกันในปี พ.ศ. 2503 และกระทั่งมีการตราพระราชบัญญัติการผังเมือง ในปี พ.ศ. 2518 ต่อมาได้รับการแก้ไขหลายครั้ง และเป็นครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2558 แต่สาระสำคัญของการผังเมืองที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติและผลกระทบของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงยังไม่ปรากฏชัดเจน แม้ประชาคมโลกได้รณรงค์เรียกร้องให้ร่วมกันลดผลกระทบของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ โดยมาตรการผังเมืองถูกกล่าวถึงว่าเป็นมาตรการที่ยั่งยืน และถูกประยุกต์ใช้มานานให้เป็นมาตรการหลักในประเทศที่พัฒนาแล้ว กระแสความเคลื่อนไหวและตื่นตัวเรื่องผลกระทบของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เริ่มแผ่ไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 1992 ในการประชุมขององค์การสหประชาชาติที่ประเทศบราซิล แต่เรื่องราวของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยกลับมีน้อยมาก และจำกัดความสนใจในกลุ่มนักวิชาการ กระทั่งการประชุมเรื่องเดียวกันอีกครั้งในปี 2012 จึงเริ่มมีความตื่นตัวมากขึ้นในประเทศไทย ล้าหลังประชาคมโลกกว่า 20 ปี แต่ความสนใจยังคงจำกัดในกลุ่มเดิม ไม่มีสาระใดที่เกี่ยวข้องกับการผังเมืองมากนัก จึงเป็นคำถามสำคัญว่า มาตรการด้านผังเมืองที่หลายประเทศนำมาประยุกต์ใช้เพื่อลดผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงนั้น จักสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยได้อย่างไร
Planning Measures for Disaster Risk Reduction and Climate Change Resilience
การผังเมืองในประเทศไทยได้พัฒนามานานหลายทศวรรษ จากการวางผังเมืองเดิมที่เป็นระบบผังมืองแบบอังกฤษ (British Planning System) กระทั่งได้รับอิทธิพลการวางผังเมืองสมัยใหม่ซึ่งเป็นระบบอเมริกันในปี พ.ศ. 2503 และกระทั่งมีการตราพระราชบัญญัติการผังเมือง ในปี พ.ศ. 2518 ต่อมาได้รับการแก้ไขหลายครั้ง และเป็นครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2558 แต่สาระสำคัญของการผังเมืองที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติและผลกระทบของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงยังไม่ปรากฏชัดเจน แม้ประชาคมโลกได้รณรงค์เรียกร้องให้ร่วมกันลดผลกระทบของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ โดยมาตรการผังเมืองถูกกล่าวถึงว่าเป็นมาตรการที่ยั่งยืน และถูกประยุกต์ใช้มานานให้เป็นมาตรการหลักในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ในอดีตมิใช่เพียงประเทศไทย แต่หลายประเทศในโลกต่างถกเถียงถึงสาเหตุของภัยพิบัติ และถูกปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หลายครั้งถูกกระแสการเมืองเบี่ยงเบนเพื่อประโยชน์ในการผลักดันนโยบายการเมือง และเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจบางประเภท โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก
เอกสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงปรากฏมากมาย ตัวอย่างเช่น รัฐสภาแห่งสหภาพยุโรป โดยกรรมาธิการด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุขและความปลอดภัยด้านอาหาร ได้เผยแพร่เอกสารชื่อ Climate Change and natural Disasters; Scientific evidence of a possible relation between recent natural Disasters and Climate Change ในปี 2006 เอกสารนี้นำเสนอผลการศึกษาผลกระทบของสภาพภูมิอากาศในยุโรปในหลายประเทศ สาระสำคัญได้แก่
ภัยพิบัติจากสภาพอากาศรุนแรงมาก หรือ Extreme Weather Disasters โดยมีข้อมูลทางสถิติปรากฏชัด เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นจนเป็นภัยพิบัติคลื่นความร้อนในปี 2003 ทำให้มีผู้เสียชีวิตในยุโรปมากถึง 22,146 คน และพายุหมุนที่รุนแรงมากขึ้นจนเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ใน 11 ประเทศในยุโรปในปี 2002 แต่ความเสียหายในยุโรปยังน้อยกว่าการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินในภูมิภาคต่างๆของโลกโดยเฉพาะประเทศยากจนและล้าหลังในช่วงเวลาเดียวกัน
ขณะเดียวกัน เอกสารทางวิชาการจากมหาวิทยาลัยและผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจากประเทศต่างๆ ซึ่งล้วนมีข้อสรุปไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะแนวโน้มในอนาคตและความผันผวนไม่แน่นอนของสภาพอากาศในแต่ละฤดูกาล ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านต่างๆ ตามมา บริบทของภัยพิบัติจากสภาพอากาศรุนแรงมาก หรือ Climate Extreme Disasters จึงเป็นความท้าทายของผู้ที่เกี่ยวข้อง
ดังข้อเท็จจริงที่ปรากฎชัด ภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบกว้างไกลมาก แทบทุกภาคส่วนที่มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ผลกระทบแต่ละด้านยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในหลายมิติ จากความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สู่ความเปราะบางด้านเศรษฐกิจและสังคม จากหมู่บ้านชนบทสู่เมืองใหญ่ จากภาคเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม และสรรพชีวิตทั้งหลายบนโลกล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น