การอ้างอิง: มนัสชยา เนื่องจุ้ย และ เพ็ญรดี จันทร์ภิวัฒน์. (2564). “แบคทีเรีย” ดัชนีบ่งชี้คุณภาพน้ำทางชีวภาพของแม่น้ำระยองในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 25 (ฉบับที่ 2).
บทความ: “แบคทีเรีย” ดัชนีบ่งชี้คุณภาพน้ำทางชีวภาพของแม่น้ำระยองในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
น้ำ นับเป็นหนึ่งในเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ใช้น้ำทั้งในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งเพื่อการอุปโภค-บริโภค การพัฒนาเศรษฐกิจทั้งด้านการท่องเที่ยว การเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม รวมไปถึงการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ แต่อย่างไรก็ตาม กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์นั้นก็ได้ก่อให้เกิดน้ำเสียและของเสียต่าง ๆ ที่ปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ จนก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางน้ำตามมา และนับเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ EEC ที่มีการเติบโตด้านอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นอย่างมากนั้น ทำให้เกิดการขยายตัวของเมืองและการเพิ่มขึ้นของประชากร จนทำให้เกิดการปล่อยน้ำเสียชุมชนลงสู่แหล่งน้ำ จนเกิดการปนเปื้อนของสารเคมีและของเสียต่าง ๆ ส่งผลให้คุณภาพน้ำผิวดินเสื่อมโทรมมากขึ้น (สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (ชลบุรี), 2563) จนส่งกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ และก่อให้เกิดผลกระทบต่อการใช้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค การเกษตร และการประกอบอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้การตรวจติดตามคุณภาพน้ำจึงนับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้ทราบถึงสถานการณ์คุณภาพของแหล่งน้ำ การใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำที่เหมาะสม รวมไปถึงการวางแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำจากแหล่งกำเนิดมลพิษ และยังสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ได้อีกด้วย (คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, 2535)
คุณภาพน้ำ (Water Quality) หมายถึง สภาวะของน้ำที่มีองค์ประกอบเจือปนทั้งทางด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแหล่งน้ำแต่ละแห่งจะมีองค์ประกอบต่าง ๆ เจือปนในปริมาณที่แตกต่างกันขึ้นกับที่มาของแหล่งน้ำ และองค์ประกอบที่แตกต่างกันไปนี้เอง ที่ส่งผลให้แหล่งน้ำต่าง ๆ นั้นมีความเหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกันไป (ไพฑูรย์ หมายมั่นสมสุข, 2554)
การตรวจวิเคราะห์ TCB และ FCB ตามมาตรฐานของการตรวจวัดในน้ำและน้ำเสียของ American Public Health Association หรือ APHA ซึ่งเป็นมาตรฐานวิธีการวิเคราะห์คุณภาพน้ำที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไป คือ วิธี Multiple-Tube Fermentation Technique ซึ่งทำให้สามารถตรวจวิเคราะห์ปริมาณโคลิฟอร์มได้ในค่า Most Probable Number (MPN) ต่อนํ้า 100 มิลลิลิตร ซึ่งตามข้อกำหนดคุณภาพน้ำผิวดินโดยกรมควบคุมมลพิษนั้น ได้กำหนดให้แหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 2 คือ แหล่งน้ำที่ได้รับน้ำทิ้งจากกิจกรรมบางประเภท และสามารถเป็นประโยชน์เพื่อการอุปโภคและบริโภค โดยต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติก่อนและผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำทั่วไปก่อน และสามารถเป็นประโยชน์เพื่อการอนุรักษ์สัตว์น้ำ การประมง การว่ายน้ำ และกีฬาทางน้ำ จะต้องมีค่า TCB และ FCB ไม่เกิน 5,000 MPN/100 มิลลิลิตร และ 1,000 MPN/100 มิลลิลิตร ตามลำดับ และแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 3 คือ แหล่งน้ำที่ได้รับน้ำทิ้งจากกิจกรรมบางประเภท และสามารถเป็นประโยชน์เพื่อการอุปโภคและบริโภค โดยต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติและผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำทั่วไปก่อน และสามารถเป็นประโยชน์เพื่อการเกษตร จะต้องมีค่า TCB และ FCB ไม่เกิน 20,000 MPN/100 มิลลิลิตร และ 4,000 MPN/100 มิลลิลิตร ตามลำดับ (คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, 2535)
ผลการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดินของแม่น้ำระยอง ในรอบ 5 ปี (พ.ศ. 2558– 2562) ของสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 ชลบุรี (2563) โดยเฉพาะปริมาณการปนเปื้อนของ TCB และ FCB ใน 6 จุดตรวจวัดตลอดลำน้ำของแม่น้ำระยอง (รูปที่ 1) ทั้งในฤดูร้อน (กุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม) และฤดูฝน (สิงหาคม ถึง พฤศจิกายน) พบว่าค่า TCB ในตัวอย่างน้ำผิวดินของแม่น้ำระยอง มีค่าอยู่ในช่วง 2,150–160,000 MPN/100 มิลลิลิตร เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานแหล่งน้ำผิวดิน (ไม่เกิน 20,000 MPN/100 มิลลิลิตร) พบว่าส่วนใหญ่มีค่า TCB เกินเกณฑ์มาตรฐานของแหล่งน้ำผิวดิน ประเภทที่ 3 (ตารางที่ 1) ส่วนค่า FCB ในตัวอย่างน้ำผิวดินของแม่น้ำระยอง มีค่าอยู่ในช่วง 220 – 126,000 MPN/100 มิลลิลิตร เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานแหล่งน้ำผิวดิน (ไม่เกิน 4,000 MPN/100 มิลลิลิตร) พบว่าค่า FCB เกินเกณฑ์มาตรฐานของแหล่งน้ำผิวดิน ประเภทที่ 3 (ตารางที่ 2) เมื่อพิจารณาปริมาณค่าเฉลี่ยของ TCB และ FCB แล้ว พบว่าปริมาณของ TCB และ FCB ในตัวอย่างน้ำในช่วงฤดูร้อนมักจะมีค่าสูงกว่าฤดูฝน นอกจากนั้นยังพบว่าปริมาณของ TCB และ FCB มีค่าต่ำสุดในบริเวณจุดตรวจวัด RY6 ในขณะที่ปริมาณของ TCB และ FCB ที่จุดตรวจวัด RY3 นั้น พบว่ามีปริมาณสูงที่สุด ทั้งนี้อาจมีสาเหตุเนื่องมาจากจุดตรวจวัด RY6 นั้นเป็นพื้นที่ต้นน้ำจึงได้รับผลกระทบและเกิดการปนเปื้อนของเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์น้อย มีลักษณะการปนเปื้อนที่เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินแล้วพบว่าแม่น้ำระยองบริเวณจุดตรวจวัดนี้เป็นแหล่งน้ำที่คุณภาพน้ำมีสภาพตามธรรมชาติโดยปราศจากน้ำทิ้งจากกิจกรรมทุกประเภท สามารถใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภค-บริโภคโดยต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติก่อน และยังสามารถใช้ประโยชน์เพื่อการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและเพื่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศแหล่งน้ำได้
ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (ชลบุรี), 2563
การปนเปื้อนของแบคทีเรียทั้งกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด และกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์มในแม่น้ำระยองที่สูงเกินกว่าสภาพตามธรรมชาติโดยเฉพาะในพื้นที่ปลายน้ำ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม่น้ำระยองนั้นเกิดการปนเปื้อนจากของเสียที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปนเปื้อนของสิ่งขับถ่ายของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่น อีกทั้งยังชี้ให้เห็นว่าของเสียและน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นเหล่านี้มิได้รับการบำบัดอย่างเหมาะสมก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้จึงควรมีการเพิ่มระบบบำบัดน้ำเสียของชุมชนในพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อลดโอกาสการปนเปื้อนของแบคทีเรียที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ในแหล่งน้ำ และเพื่อลดระดับความวิกฤติของปัญหาคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ จากแหล่งน้ำ
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในภาวะภัยแล้งเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ในส่วนของกิจกรรมย่อยที่ 2 “การศึกษาผลกระทบของภัยแล้งต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำและคุณภาพชีวิต” ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ส่งเสริม ววน.) ปีงบประมาณ 2564 (CU_FRB640001_01_21_6)