การอ้างอิง: สุทธิรัตน์ กิตติพงษ์วิเศษ, แคทรียา แซ่จิว, พิเชษฐ์ มูลปา, สิทธิศักดิ์ สุขใสสาคร. (2564). มุมมองของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและทิศทางการดำเนินงานในประเทศไทย. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 25 (ฉบับที่ 4).


บทความ: มุมมองของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและทิศทางการดำเนินงานในประเทศไทย

“Multi-stakeholder Dialogue on Climate Change in Thailand” ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับความคืบหน้าของการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยุทธศาสตร์การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย รวมไปถึงมุมมองของภาคประชาสังคมที่มีต่อข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในการลดก๊าซเรือนกระจกและดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายหลังปี ค.ศ. 2020 (Intended Nationally Determined Contribution: INDC) และเพื่อระดมสมองหาแนวทางที่เป็นไปได้ในการดำเนินมาตรการลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความตระหนักรู้และความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในการหาแนวทางการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่เหมาะสม

(1) หน่วยงานภาครัฐ
ได้เสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยซึ่งเน้นการบูรณาการงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตั้งแต่ระดับนโยบายและแผนระดับชาติ ประกอบด้วย แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติซึ่งสอดคล้องกับกรอบการดำเนินงานในระดับสากลทั้ง UNFCCC และหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับสากล (SDGs) ขณะเดียวกัน ยังมีการกำหนดแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 - 2593 ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานระยะยาวของประเทศภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและมีการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน” อาศัยแนวทางการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่

2. การลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และ

ขณะเดียวกัน การลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยยังได้ดำเนินงานตามแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี พ.ศ. 2564 - 2573 แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยปี พ.ศ. 2564 - 2573 รายสาขา ได้แก่ สาขาพลังงาน คมนาคมขนส่ง กระบวนการทางอุตสาหกรรม และของเสีย เป็นต้น และแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศชาติ (National Adaptation Plan: NAP) โดย NAP จัดทำขึ้นเพื่อให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการบูรณาการประเด็นด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและมีแผนการดำเนินงานด้วยกันทั้งสิ้น 6 สาขา ได้แก่ การจัดการน้ำ การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ท่องเที่ยว สาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติ การตั้งถิ่นและความมั่นคงของมนุษย์

ดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs) ซึ่งเป็นการดำเนินงานแบบสมัครใจ โดยที่ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงในการลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 7 - 20 จากภาคพลังงานและภาคขนส่งให้ต่ำกว่าการดำเนินงานปกติ (Business as Usual: BAU) ซึ่งผลจากการดำเนินงาน NAMA นั้นสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ในปี ค.ศ. 2018 ประเทศไทยนั้นสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานได้ทั้งสิ้น 57.84 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เทียบกับการดำเนินงานกรณีปกติ

การดำเนินงานภายใต้ข้อตกลงปารีสหรือที่เรียกว่าการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) มีระยะเวลาการดำเนินงานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 ถึง 2030 ซึ่งประเทศไทยได้ทำการจัดส่ง NDC ฉบับแรกเมื่อปี ค.ศ. 2015 โดยแสดงเจตจำนงที่จะลดก๊าซเรือนกระจกที่ร้อยละ 20 - 25 จากกรณีปกติภายในปี ค.ศ. 2030 ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงกลไกการสนับสนุนทางการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพ โดยจะเป็นการดำเนินงานของทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ (Economy Wide) ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในระยะต่อไปภายหลังปี พ.ศ. 2563 ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลักคือ

จัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อส่งเสริมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (แผนปี พ.ศ. 2563): สืบเนื่องจากข้อตกลงปารีสได้กำหนดให้ทุกประเทศจัดทำและสื่อสารยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแผนงานและกิจกรรมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปยัง UNFCCC ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 – 2 องศาเซลเซียส รวมถึงการศึกษาเพื่อหาความเป็นไปได้ในการกำหนดแนวทางและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศในระยะยาว เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการจัดทำการมีส่วนร่วมที่ประเทศจะกำหนดในฉบับถัดไป ทั้งนี้ การดำเนินงานของประเทศไทยด้านการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะต่อไป มีดังนี้ ในปี พ.ศ. 2563 ไทยวางแผนกำหนดแนวทางและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในระยะยาวของประเทศ (Long Term Strategy: LTS) สำหรับปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) โดยพิจารณาจากทั้งเป้าหมายการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส (Well Below 2 °C) และมุ่งพยายามควบคุมไม่ให้เกิน 1.5 °C ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)

ศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม (แผนปี พ.ศ. 2565) โดยวางแผนศึกษาผลกระทบของเศรษฐกิจและสังคมต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาวเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำ NDC ฉบับที่ 2

การประเมินผลการดำเนินการและศึกษาศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับ NDC ฉบับที่ 2 (แผนปี พ.ศ. 2566) อาศัยการศึกษาศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อจัดทำเป้าหมาย NDC ฉบับที่ 2 ซึ่งในข้อตกลงปารีสได้กำหนดให้ทุกประเทศจัดทำและแจ้งเป้าหมาย NDC ต่อ UNFCCC ในปี พ.ศ. 2568
กล่าวโดยสรุป กลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ประกอบด้วย 4 กลไกหลักคือ การสนับสนุนทางการเงิน การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งในประเทศ/ต่างประเทศ และการเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินงานตามแผนและนโยบายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ 

ผู้แทนจากภาคเอกชนได้นำเสนอประเด็นการดำเนินงานเพื่อสนองต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าเป็นประเด็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญและภาคเอกชนเองควรมีมาตรการและนโยบายสนับสนุนการดำเนินงาน เนื่องจากในประเด็นความเสี่ยงจากผลกระทบของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากในปัจจุบันทั้งในเชิงของความเสี่ยงทางกายภาพที่สามารถเห็นได้ชัดเจน ในขณะเดียวกัน เริ่มมีนโยบายหรือทิศทางระดับสากลที่แต่ละประเทศพยายามดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามและบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีส จากที่กล่าวมาทั้งหมดจึงนับเป็นแรงขับเคลื่อนการดำเนินงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ที่กำหนดว่าในปี ค.ศ. 2030 จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 20 จากการดำเนินงานปกติ (BAU) และได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 52 ภายในปี ค.ศ. 2050 จึงต้องขยายผลสู่การดำเนินงานร่วมกับกิจกรรมที่มีส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบและสินค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยบริษัทมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตทั้งหมดเพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีการนำพลังงานหมุนเวียนเข้ามาใช้มากยิ่งขึ้น

ผู้แทนจากภาคการศึกษานำเสนอว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในอันดับที่ 10 จากการจัดอันดับของ Global Climate Risk Index ปี ค.ศ. 1996 – 2015 ซึ่งการจัดอันดับนี้อ้างอิงจากผลกระทบที่เกิดจากคลื่นความร้อน (Heat Wave) ฝนตกหนัก (Extreme Precipitation) เช่น การเกิดน้ำท่วมและแผ่นดินถล่ม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว รวมถึงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร จากการศึกษาขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบว่า เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียสจะทำให้ GDP ของประเทศลดลงร้อยละ 3.04, 5.41 และ 7.60 ในปี ค.ศ. 2030, 2040 และ 2050 ตามลำดับ และส่งผลกระทบมากที่สุดในด้านของอุตสาหกรรม อันดับสองคือการท่องเที่ยว รองลงมาเป็นสุขภาพ และสุดท้ายคือภาคการเกษตร

ให้ความรู้และการจัดทำโมเดลแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งแนวทางการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่วนงานวิจัยช่วง พ.ศ. 2551 - 2563 จะเน้นด้านผลกระทบและแนวทางการลดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และการเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของชุมชนต่อเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้ครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน ได้แก่ การเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การใช้ทรัพยากรน้ำ ชายฝั่ง ด้านการขนส่ง ความหลากหลายทางชีวภาพ แนวปะการัง ด้านโรคและสุขภาพ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนั้นสาขาการเกษตรจะได้รับทุนวิจัยมากที่สุดเมื่อเทียบกับด้านอื่น ๆ เช่น การปรับกระบวนการผลิตพืช ผลไม้ ข้าว ปาล์ม มัน รองลงมาเป็นสาขาวิทยาศาสตร์

โดยงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ สาขาพลังงานและการขนส่ง สาขาการจัดการของเสีย และสาขากระบวนการอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นสาขาที่มีศักยภาพสูงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะเดียวกัน ภาคการศึกษานั้นมีบทบาทต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. บทบาทส่งเสริมการให้ความรู้ในกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่องของ Climate Change ซึ่งอาจจะสอดแทรกไว้ในวิชาต่าง ๆ เช่น วิชาความยั่งยืน เมืองคาร์บอนต่ำ การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น และ 2. บทบาทด้านงานวิจัย มีหลากหลายด้านซึ่งงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นมีเพิ่มขึ้นมากตลอด 20 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 - 2019)

ภาคประชาสังคมนั้นมีความสนใจและการตื่นตัวทั้งในเรื่องของการลดโลกร้อนและเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ พบว่ากลุ่มภาคประชาสังคมของประเทศไทยและทั่วโลกนั้นมีความประสงค์ที่จะควบคุมไม่ให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นไปถึง 1.5 องศาเซลเซียส แม้ว่าภาคประชาสังคมอาจมิได้รับรู้หรือเข้าใจในเรื่องของก๊าซเรือนกระจก/ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นจากประสบการณ์ตรงด้วยตนเองในหลายพื้นที่ของประเทศ ได้แก่ พื้นที่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก เนื่องจากการดำเนินชีวิตของประชาชนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพลม ฟ้า ดิน และฝน โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ไม่สามารถคาดการณ์รูปแบบและความรุนแรงของผลกระทบจากโลกร้อนได้ ภาคประชาสังคม พลเมือง ชุมชน รวมถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ควรสร้างและส่งเสริมช่องทางการเรียนรู้และความตระหนักเรื่องโลกร้อน รูปแบบการปรับตัว การลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับสาระของข้อตกลงปารีสเพื่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างความตระหนัก มีการอภิปรายว่าภาคส่วนใดที่ควรจะรับผิดชอบโดยตรงในการลดก๊าซเรือนกระจกเนื่องจากเป็นผู้ที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นโดยเฉพาะภาคพลังงาน

ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่าภาคส่วนชุมชนเองมีการริเริ่มสร้างมาตรการในการปรับตัวต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงหาแนวทางในการแก้ไขและรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรูปแบบต่าง ๆ ในระดับชุมชนหรือประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาระดับท้องถิ่น เช่น การติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชน การจัดแปลงที่นาเพื่อให้มีการประหยัดทรัพยากรน้ำ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีการเกษตรในรูปแบบต่างๆ เช่น การปลูกพืชลอยน้ำเพื่อที่เวลาน้ำท่วมพืชผลจะได้ไม่เสียหาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชุมชนร่วมมือกันและลงทุนกันเอง จึงมีข้อเสนอแนะให้มีการส่งเสริมกลไกและการสร้างมาตรการต่าง ๆ มาช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนเหล่านี้ด้วยทั้งทางด้านการเงินและเทคโนโลยี การผลักดันนโยบายทุกระดับเพื่อนำไปสู่รูปแบบการปรับตัวภายใต้ความเป็นธรรมในการจัดการและรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น

ตารางที่ 1 คำสำคัญที่ได้จากงานเสวนาวิชาการ