บทความ: แนวทางการทดสอบความเป็นพิษผลิตภัณฑ์ “เฮมพ์” จากพื้นที่ปนเปื้อนโลหะหนัก

ปัญหามลพิษโดยเฉพาะกลุ่มโลหะหนักมีการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ทั้งนี้ เนื่องมาจากการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และกิจกรรมการทำเหมืองแร่ที่มีการปลดปล่อยของเสียอันตรายและน้ำเสีย รวมทั้งกิจกรรมทางการเกษตรที่มีการเปิดหน้าดินเพื่อการเพาะปลูก ทำให้โลหะหนักเกิดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปนเปื้อนโลหะหนักในดิน ซึ่งกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ หากไม่ได้รับการบำบัดที่เหมาะสมแล้ว จะมีความเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ ความเป็นพิษต่อสัตว์ ความเป็นพิษต่อพืช และความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม (Chen et al., 2006) 

ดังนั้นการกำจัดและฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนโลหะหนัก ทางเลือกหนึ่ง คือ การใช้พืชบำบัดสารมลพิษ หรือที่เรียกว่า Phytoremediation ซึ่งเป็นกลไกของการดูดดึงโลหะหนักโดยใช้หลักการพื้นฐานของการสะสมโลหะหนักซึ่งประกอบไปด้วย 2 กระบวนการ คือ การดูดดึงโลหะหนักโดยรากพืช และการเคลื่อนย้ายโลหะหนักจากรากสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความเรียบง่าย สะดวก ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental friendly) (พันธวัศ สัมพันธ์พานิช, 2558)

โดยพืชที่น่าสนใจมากในปัจจุบัน คือ เฮมพ์ (Cannabis sativa L.) ด้วยคุณสมบัติของเฮมพ์ ซึ่งเป็นพืชที่ง่ายต่อการปลูกและดูแลรักษา มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นพืชล้มลุกมีอายุเพียงปีเดียว มีระบบรากแก้ว และมีรากแขนงจำนวนมาก

ประเทศไทยได้จัดให้เฮมพ์อยู่ในบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 หากแต่ในปัจจุบันมีการรายงานและยืนยันถึงประโยชน์ในหลากหลายด้านของเฮมพ์มากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ให้มีการขออนุญาตปลูกเฮมพ์นี้ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการปลูกเฮมพ์ และนำไปใช้ประโยชน์ด้านเส้นใยทอผ้า ทั้งในระดับครัวเรือน และอุตสาหกรรม

ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกเฮมพ์ในทุก ๆ พื้นที่ หากแต่จำเป็นต้องมีการยื่นคำร้องขออนุญาตปลูกเฮมพ์ในพื้นที่นั้น ๆ และผู้ที่ได้รับอนุญาตจะต้องมีแผนการผลิต แผนการจำหน่าย และการนำไปใช้ประโยชน์ตามขั้นตอนที่ได้รับอนุญาต และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ประโยชน์เฉพาะตามที่ได้รับอนุญาต ประกอบกับปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีการเตรียมการส่งเสริม และยกระดับเฮมพ์ให้เป็นพืชเศรษฐกิจ ด้วยการนำเส้นใยมาใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ เช่น ผลิตเสื้อผ้า และกระเป๋า เป็นต้น

“เฮมพ์” มาทำการปลูกในพื้นที่ปนเปื้อนโลหะหนัก ต้องมีการยื่นขออนุญาตปลูกเฮมพ์ จากกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา ปรับปรุง และเสริมการแปรรูปเฮมพ์เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เนื่องจากเฮมพ์นั้นมีเส้นใยธรรมชาติที่มีความยืดหยุ่นสูง แข็งแรง ทนทาน สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างผลิตภัณฑ์จากเส้นใยได้มากมาย ท่ามกลางกระแสความสนใจเรื่องการรักษ์โลกนับวันยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ทุกองค์กรหรือหน่วยงานทุกภาคส่วนต่างตระหนัก และให้ความสนใจมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งนับวันก็ยิ่งค้นคว้าวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในกระบวนการผลิตสิ่งทอให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นอกจากการส่งเสริมการปลูกเฮมพ์ในพื้นที่ดินที่มีการสะสม และปนเปื้อนโลหะหนัก และมีการนำพืชนั้นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้ว (ดังรูปที่ 1) ยังสามารถทำให้พื้นที่ดินที่มีการปนเปื้อนโลหะหนักมีปริมาณลดลง และเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาพื้นที่ปนเปื้อนได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน


ที่มา: ดร.รุ่งทิพย์ ลุยเลา (2561)

การปลูกเฮมพ์ในพื้นที่ดินที่มีการสะสม และปนเปื้อนโลหะหนัก เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาให้ชุมชนในพื้นที่ปลูกพืชดังกล่าว และมีการนำพืชนั้นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน จึงคาดว่าจะเป็นวิธีการที่จะสามารถทำให้พื้นที่ดินที่มีการปนเปื้อนโลหะหนักมีปริมาณลดลง เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาพื้นที่ปนเปื้อนได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ตลอดจนยังเป็นวิธีการที่สามารถสร้างเป็นผลิตภัณฑ์สีเขียว หรือ Green production ที่กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมดำเนินการส่งเสริมในปัจจุบันได้ ดังนั้น “เฮมพ์ ผลิตภัณฑ์เพื่อวิสาหกิจชุมชน” จึงมีความเหมาะสมต่อการแก้ไขปัญหา และฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนได้เป็นอย่างดี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

“เฮมพ์” ได้นำมาใช้ประโยชน์ด้านเส้นใยในอุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้า และอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษ ซึ่งผลิตภัณฑ์จากเส้นใยเฮมพ์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง และมีคุณสมบัติที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์จากเส้นใยประเภทอื่น ๆ อาทิ การผลิตเสื้อผ้าจากใยเฮมพ์ จะมีความแข็งแรงทนทานกว่า “ผ้าฝ้าย” ดูดซับความชื้นได้ดีกว่า “ไนลอน” ทำให้สวมใส่เย็นสบายในฤดูร้อน อบอุ่นกว่า “ลินนิน” ทําให้สวมใส่แล้วอบอุ่นในฤดูหนาว ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว จึงทำให้ผลิตภัณฑ์จากเฮมพ์ได้รับความสนใจ และมีความต้องการในตลาดเพิ่มสูงขึ้น (Schluttenhofer and Yuan, 2017)

โดยพบว่ารากของเฮมพ์สามารถเจริญเติบโตได้ในดินปนเปื้อนแคดเมียม โดยไม่พบความผิดปกติทางใบและการสะสมแคดเมียมในปริมาณสูง โดยเฮมพ์มีการสะสมในรากสูงที่สุด รองลงมาคือ ลำต้น ใบ และเมล็ด ตามลำดับ (Angelova et al., 2004) โดยพบว่ามีการสะสมแคดเมียมได้สูงที่สุดบริเวณราก (800 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักแห้ง) และในส่วนลำต้น และใบ มีการสะสมแคดเมียมได้ 50–100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักแห้ง (Linger et al., 2005) ซึ่งจะเห็นได้ว่าเฮมพ์เป็นพืชที่มีความน่าสนใจในการนำมาส่งเสริมให้ปลูกในพื้นที่ปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปนเปื้อนแคดเมียม โดยสามารถนำส่วนของลำตันเฮมพ์มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จำพวกเส้นใยได้อีกด้วย

“เส้นใยกัญชงจะมีการปนเปื้อนโลหะหนักหรือไม่” และ “โลหะหนักที่ปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์นั้นจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือไม่” ซึ่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการพิสูจน์ทราบความเป็นพิษของผลิตภัณฑ์ต่อการสัมผัสของมนุษย์

ซึ่งในปัจจุบันการศึกษาความเป็นพิษจากการปนเปื้อนโลหะหนักมีไม่แพร่หลายนัก และมีหลายประเทศที่ส่งเสริมให้สกัดสารจากพืชตระกูลกัญชง (เฮมพ์) และกัญชา มาใช้ในกระบวนการรักษาโรค เช่น Federal Drug Administration (FDA) (Wieliczko, 2019) ได้มีการกำหนดมาตรฐานให้สารสกัดเพื่อการรักษาโรคจากพืชตระกูลกัญชงและกัญชา 1 กรัมต้องมีปริมาณแคดเมียมต่ำกว่า 0.5 ไมโครกรัม ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการประเมินความเป็นพิษของโลหะหนักจากผลิตภัณฑ์เฮมพ์ ยังคงไม่เป็นที่แพร่หลายนัก เพราะในปัจจุบันมุ่งเน้นแต่การสกัดสารจากพืชดังกล่าว เพื่อการรักษาโรคเพียงอย่างเดียว โดยมิได้ตระหนักถึงประโยชน์ในมุมมองอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนโลหะหนัก และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง

การทดสอบความเป็นพิษของโลหะหนักที่สะสมในเส้นใยและผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเฮมพ์ ที่ปลูกในบริเวณพื้นที่ปนเปื้อนโลหะหนักนั้น นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะกระบวนการทดสอบเป็นวิธีการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ที่จะซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์จากเส้นใยเฮมพ์ที่ปลูกในพื้นที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก โดยวิธีการทดสอบความเป็นพิษของสารโลหะหนักในผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องมีการศึกษาทั้งข้อมูลในเชิงปริมาณ เพื่อประเมินความเข้มข้นของสารโลหะหนักที่สะสมในเส้นใยเฮมพ์ หรือผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่น ๆ ที่ได้จากการปลูกในพื้นที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก

และเมื่อเปรียบเทียบปริมาณการสะสมโลหะหนักในเฮมพ์ พบว่าเฮมพ์สามารถสะสมนิกเกิลได้สูงที่สุด รองลงมา คือ ตะกั่ว และแคดเมียม ตามลำดับ โดยการสะสมจะมีความเข้มข้นสูงบริเวณราก รองลงมา คือ เมล็ด ใบ และลำต้นตามลำดับ (Linger et al., 2005; Linger et al., 2002) อย่างไรก็ตามการระบุข้อมูลในเชิงปริมาณดังกล่าว อาจไม่เพียงพอต่อการพิจารณาและการทดสอบความเป็นพิษของสารโลหะหนักที่สะสมและกระจายอยู่ในเส้นใย และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่แปรรูปจากเฮมพ์

ปัจจุบันมีการศึกษาโดยใช้แผนภาพการกระจายตัวของสารโลหะหนักด้วยเทคนิคการใช้แสงซินโครตรอนเทคนิคไมโครเอกซเรย์ฟลูออเรสเซนส์ (SR-micro-XRF) การใช้เลเซอร์อะบเลชั่นอินดักทีฟลีคอบเพิลพลาสมาร์แมสสเปกโตรเมทรี (LA-ICP-MS) เพื่อช่วยในการพิจารณาความเสี่ยงต่อการรับสัมผัส ซึ่งเทคนิคดังกล่าวเป็นวิธีการพิจารณาการสะสมและกระจายตัวของสารโลหะหนัก (ดังรูปที่ 2) สามารถทำให้ทราบว่า บริเวณใดมีการสะสม การกระจาย และการจุกตัวของสารโลหะหนักในปริมาณสูง เช่น สารโลหะหนักมีการสะสมในเนื้อเยื่อชั้นในได้ปริมาณสูง และมีการสะสมที่บริเวณเนื้อเยื่อชั้นนอก หรือผิวด้านนอกของผลิตภัณฑ์เฮมพ์ในปริมาณต่ำ หรืออาจกล่าวได้ว่า การสะสมในเส้นใยหรือในผลิตภัณฑ์เฮมพ์อาจมีปริมาณที่ต่ำด้วย ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถเป็นเครื่องยืนยันที่ดีกว่าข้อมูลเชิงปริมาณ ว่าผลิตภัณฑ์จากเฮมพ์นั้นมีความเป็นพิษหรือเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มากน้อยเพียงใด

นอกจากนี้มีการศึกษาของ Arai et al. (2004) ที่ศึกษาการกระจายตัวของแคดเมียมและสังกะสี โดยใช้เทคนิค SR-micro-XRF โดยรังสีเอ็กซ์ที่มีความเข้มสูง พบว่าบริเวณแกนของใบและขนใบมีการสะสมและกระจายตัวของแคดเมียมสูงกว่าบริเวณอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และการศึกษาของ Fukuda et al. (2008) ศึกษาการกระจายตัวของแคดเมียมใน Sedum alfredii โดยใช้เทคนิค LA-ICP-MS ซึ่งผลการทดลองพบว่าแคดเมียมมีการสะสมและกระจายตัวบริเวณช่องว่างบริเวณกลางลำต้นหรือพิช (Pith) และคอร์เทกซ์ (Cortex) เป็นต้น และจากแผนภาพการกระจายตัวยังสามารถแสดงให้เห็นว่าการสะสมแคดเมียมมีปริมาณสูงบริเวณผิวนอกของรากพืช ดังรูปที่ 3 (Aekkacha et al., 2019) เป็นต้น ซึ่งจากการศึกษาตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นได้ว่า การศึกษาโดยใช้แผนภาพเพื่อพิจารณาการสะสมและกระจายตัวของสารโลหะหนัก สามารถนำไปประยุกต์และใช้ในการประเมินความเสี่ยงต่อการรับสัมผัสจากการใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ที่ได้จากเฮมพ์ได้เป็นอย่างดี


ที่มา: สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555)


ที่มา: Aekkacha et al., 2019

เฮมพ์มีความสามารถในการสะสมแคดเมียม มีการรายงานโดย Linger et al. (2002) ที่ทำการปลูกเฮมพ์ในกากตะกอนที่ปนเปื้อนแคดเมียมที่มีความเข้มข้นเท่ากับ 102 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 4 เดือน พบว่าเฮมพ์สามารถสะสมแคดเมียมได้สูงสุดที่ใบ เท่ากับ 3.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รองลงมาคือเมล็ด เท่ากับ 1.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และมีความเข้มข้นของแคดเมียมเท่ากันในส่วนของเนื้อไม้ (Hurds) และเส้นใย (Fibers) เท่ากับ 0.8 มิลลิกรัม/กิโลกรัม โดยเนื้อไม้และเส้นใยที่ได้มีคุณภาพใกล้เคียงกับเฮมพ์ที่ปลูกในพื้นที่ที่ไม่ปนเปื้อน และอยู่ในระดับที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยไม่ได้ทำการศึกษาปริมาณการสะสมแคดเมียมในส่วนของราก

สอดคล้องกับการศึกษาของ Angelova et al. (2004) ที่รายงานว่าเฮมพ์มีการสะสมแคดเมียมเรียงตามลำดับจากมากไปน้อย คือ ดอก > ราก > เมล็ด > ลำต้น > ใบ > เส้นใย โดยเฮมพ์ที่ปลูกในดินที่ปนเปื้อนแคดเมียมที่ระดับ 10-12.2 และ 2.5-2.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีความเข้มข้นของแคดเมียมในเส้นใย เท่ากับ 0.40 และ 0.15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการศึกษาของ Linger et al. (2005) ที่พบว่าแคดเมียมไม่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเฮมพ์ และความเข้มข้นของแคดเมียมในดินที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อปริมาณการสะสมแคดเมียมของเฮมพ์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฮมพ์สามารถสะสมแคดเมียมได้สูงสุดที่ราก รองลงมา คือ ลำต้น และใบ ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม การเพาะปลูกเฮมพ์ในพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมียม เพื่อนำเส้นใยมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลต่อการปนเปื้อนแคดเมียมในผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากเส้นใยเฮมพ์ แต่เมื่อพิจารณาถึงกลไกการดูดและสะสมแคดเมียมแล้ว พบว่าเฮมพ์มีความสามารถในการสะสมแคดเมียมได้ดีในส่วนของราก ในขณะที่เส้นใยเฮมพ์มีความเข้มข้นของแคดเมียมในระดับต่ำ โดยมีค่าอยู่ในช่วง 0.15-0.8 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (Linger et al., 2002; Angelova et al., 2004)

ปริมาณผลผลิตเฮมพ์ในส่วนของเส้นใยและเมล็ดทั่วโลกมีการเพิ่มขึ้นและลดลงตามความต้องการ และปริมาณพื้นที่การเพาะปลูก อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการเพาะปลูกเฮมพ์เพื่อนำเส้นใยและเมล็ดมาใช้ประโยชน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2556 มีพื้นที่การเพาะปลูกเฮมพ์ทั่วโลกกว่า 569,000 ไร่ ซึ่งประเทศที่มีพื้นที่การเพาะปลูกเฮมพ์ขนาดใหญ่ที่สุด 5 ลำดับแรก คือ แคนาดา เกาหลีเหนือ จีน ฝรั่งเศส และชิลี โดยที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีมูลค่าการนำเข้าผลผลิตเฮมพ์สูงที่สุด (Schluttenhofer and Yuan, 2017) ในปัจจุบันเฮมพ์ถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม วัสดุก่อสร้าง ยารักษาโรค เส้นใย และน้ำมัน

โดยปริมาณโปรตีนที่สูงของเมล็ดเฮมพ์ทำให้ในปัจจุบันมีความเป็นไปได้ที่จะมีการผลิตแป้งจากเมล็ดเฮมพ์ทดแทนถั่วเหลืองซึ่งเป็นพืช GMOs (กองควบคุมวัตถุเสพติด, 2561) โดยมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารจากเมล็ดเฮมพ์ และน้ำมันสกัดจากเมล็ดของออสเตรเลียจะสูงถึง 1 พันล้านเหรียญออสเตรเลียต่อปี (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, 2562ข) อย่างไรก็ตาม ผลผลิตเฮมพ์ในออสเตรเลียมีปริมาณน้อย และไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการสร้างผลิตภัณฑ์เฮมพ์ในออสเตรเลีย จึงจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบส่วนใหญ่จากแคนาดาและสหภาพยุโรป (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, 2562ก)

นอกจากนี้ในปัจจุบันบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายหลายแห่งทั่วโลกก็ได้เริ่มผลิตสินค้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยเฮมพ์ออกมาจำหน่ายหลากหลายชนิด ส่งผลให้ปริมาณความต้องการเส้นใยเฮมพ์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณการผลิตเส้นใยเฮมพ์มีอยู่อย่างจำกัด โดยในประเทศไทย “เฮมพ์” ถือเป็นพืชวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ซึ่งจะนำเส้นใยจากเปลือกเฮมพ์มาปั่นทำเป็นเส้นด้ายแล้วทอเป็นผ้า ทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าเฮมพ์เพื่อการส่งออกโดย บริษัท ดีดี เนเจอร์ คราฟท์ จำกัด (ดังรูปที่ 4) และมีการส่งออกผ้าเฮมพ์ให้กับแบรนด์รองเท้าผ้าใบชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา และแบรนด์เครื่องหนังระดับโลกจากฝรั่งเศส