บทความ: การพัฒนาวัสดุเพาะเห็ดนางรมทองจากกระดาษลังและเปลือกผลไม้เพื่อเพิ่มฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้ศึกษาวัสดุเพาะเห็ดนางรมทองโดยผสมขี้เลื่อยไม้กับกระดาษลัง เปลือกมังคุดและเปลือกเงาะในอัตราส่วนต่าง ๆ ผลการศึกษาพบว่าเห็ดที่เจริญจากขี้เลื่อยผสมเปลือกมังคุดร้อยละ 25:75 โดยปริมาตร มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด เปลือกมังคุดจึงเป็นวัสดุผสมที่เหมาะสมในการนำมาใช้เป็นวัสดุเพาะ


ณัฐวรา กิจธรรมรัตน์1, ภัทรพร เอี่ยมศิริกิจ1, ศศธร ศิริกุลสถิตย์1, บัวหลวง ฝ้ายเยื่อ1,2, ภัทรญา กลิ่นทอง1,*
1 สาขาวิชาชีววิทยาและวิทยาศาสตร์สุขภาพ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม
2 สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
* E-mail: Pattaraya.kln@mwit.ac.th


งานวิจัยนี้ศึกษาวัสดุเพาะเห็ดนางรมทอง (Pleurotus citrinopileatus Singer.)  ที่ทำมาจากวัสดุเหลือทิ้งและเปลือกผลไม้ ได้แก่ กระดาษลัง เปลือกมังคุด และเปลือกเงาะ โดยผสมขี้เลื่อยไม้ยางพารากับกระดาษลัง เปลือกมังคุด และเปลือกเงาะในอัตราส่วนต่าง ๆ บันทึกการเจริญเติบโต วิเคราะห์ปริมาณโปรตีนและความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของดอกเห็ด ผลการศึกษาพบว่า ขนาดและน้ำหนักแห้งของเห็ดนางรมทองที่เพาะในขี้เลื่อยผสมกับกระดาษลังและขี้เลื่อยผสมกับเปลือกมังคุดไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับเห็ดที่เพาะในขี้เลื่อยเพียงอย่างเดียว โดยเห็ดที่เจริญมาจากวัสดุเพาะที่เป็นขี้เลื่อยผสมกับเปลือกมังคุดที่อัตราส่วนร้อยละ 25:75 โดยปริมาตร มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด แม้จะมีโปรตีนและการเติบโตที่ช้าลง ดังนั้น หากต้องการทำให้เห็ดนางรมทองมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง เปลือกมังคุดจึงเป็นวัสดุผสมชนิดหนึ่งที่เหมาะสมในการนำมาใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดนางรมทอง 

เห็ดเป็นหนึ่งในเมนูอาหารที่นิยมบริโภคอย่างมากในปัจจุบันเนื่องจากเห็ดมีคุณค่าทางโภชนาการสูงประกอบด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุและวิตามินหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 นอกจากนี้เห็ดบางชนิด เช่น เห็ดนางรมทอง (Golden Oyster Mushroom) ยังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวกับการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ (Free radical) ซึ่งอนุมูลอิสระเป็นสารที่ไม่เสถียรและมีความว่องไวในการเข้าทำปฏิกิริยากับสารชีวโมเลกุลในร่างกายและทำลายองค์ประกอบของเซลล์ เช่น เยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งนำไปสู่ความไม่สมดุลของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย อนุมูลอิสระจึงเป็นสาเหตุของโรคภัยหลายชนิด 


มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การเจริญเติบโต สารอาหารและความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของเห็ดขึ้นอยู่กับวัสดุเพาะ ยกตัวอย่างเช่น อามีเนาะ อาแย (2556) ได้ใช้กรวยกระดาษเหลือทิ้งร่วมกับขี้เลื่อยไม้ยางพาราในการเป็นวัสดุเพาะเห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าและเห็ดภูฐาน พบว่าเห็ดนางรมมีการเจริญเติบโตของเส้นใยบนวัสดุเพาะกรวยกระดาษร่วมกับขี้เลื่อยไม้ยางพารามากที่สุด และเมื่อเพาะเส้นใยเห็ดนางรมบนวัสดุเพาะกรวยกระดาษและขี้เลื่อยไม้ยางพาราสัดส่วน 75:25 โดยน้ำหนัก พบว่าวัสดุเพาะดังกล่าวสามารถให้ผลผลิตเป็นดอกเห็ดสดน้ำหนักเฉลี่ย 26.59 กรัมต่อ 100 กรัมวัสดุเพาะ มีปริมาณโปรตีนร้อยละ 35.75 ต่อน้ำหนัก และมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าดอกเห็ดชุดควบคุมที่เพาะด้วยขี้เลื่อยไม้ยางพาราเพียงอย่างเดียวอย่างมีนัยสำคัญ Baysal et al. (2003) ศึกษาการเพาะเห็ดนางรมโดยใช้กระดาษเหลือทิ้งจากการตีพิมพ์ผสมกับวัสดุเสริมอื่น ๆ ได้แก่ ถ่าน ขี้ไก่ และแกลบด้วยอัตราส่วนต่าง ๆ โดยน้ำหนัก ผลการศึกษาพบว่า เห็ดที่เพาะในกระดาษที่เหลือจากการตีพิมพ์ผสมกับแกลบด้วยอัตราส่วนร้อยละ 80:20 มีน้ำหนักดอกมากที่สุด งานวิจัยล่าสุดโดย Jin et al. (2018) ได้ทดลองเพาะเห็ดนางรมโดยใช้ซังข้าวโพดผสมกากสมุนไพร (herb residue) จากอุตสาหกรรมยาท้องถิ่นของประเทศจีนในสัดส่วน 5:3 โดยน้ำหนัก ผลการทดลองพบว่าเห็ดนางรมมีน้ำหนักสด ปริมาณสารประกอบฟีนอลทั้งหมด และความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับชุดควบคุมที่เพาะในซังข้าวโพดเพียงอย่างเดียวและไม่พบโลหะหนัก (แคดเมียม ตะกั่ว และสารหนู) ในเห็ดทั้งในชุดควบคุมและชุดทดลอง 

เพื่อศึกษาผลของวัสดุเพาะจากกระดาษลัง เปลือกมังคุดและเปลือกเงาะต่อความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของเห็ดนางรมทอง และผลของวัสดุดังกล่าวต่อการเจริญเติบโตและปริมาณโปรตีนในเห็ด 

1. เตรียมวัสดุเพาะเชื้อเห็ดซึ่งประกอบด้วยขี้เลื่อยไม้ยางพาราซึ่งเป็นวัสดุเพาะพื้นฐานและใช้วัสดุเพาะอื่น ๆ ได้แก่ กระดาษลัง เปลือกมังคุดแห้งบด และเปลือกเงาะแห้งบดผสมในอัตราส่วนที่แตกต่างกันโดยปริมาตร ดังตารางที่ 1 พร้อมทั้งผสมอาหารเสริมซึ่งประกอบด้วยรำละเอียด แป้งมัน ยิปซัม ปูนขาว และดีเกลือตามสูตรมาตรฐานของศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก จ.นครปฐม โดยบรรจุวัสดุเพาะเชื้อเห็ดลงในถุงพลาสติก ใส่คอขวดพลาสติก อุดจุกด้วยสำลี และรัดด้วยยางรัดให้แน่นเพื่อผลิตเป็นก้อนเชื้อเห็ด จากนั้นนำไปนึ่งฆ่าเชื้อเพื่อนำไปใช้ในขั้นตอนต่อไป 

2. เทเมล็ดข้าวฟ่างที่มีเส้นใยเชื้อเห็ดนางรมทองเจริญเต็มทั่วทั้งเมล็ดลงในถุงก้อนเชื้อเห็ดประมาณ 15-20 เมล็ดข้าวฟ่างต่อถุง ปิดจุกด้วยสำลี และนำถุงก้อนเชื้อเห็ดไปวางบนชั้นเพื่อบ่มเชื้อเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์เพื่อให้เส้นใยเชื้อเห็ดเจริญจนเต็มหรือเกือบเต็มถุงซึ่งเส้นใยจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างอัดกันเป็นตุ่มดอกเห็ด จึงทำการเปิดจุกออกเพื่อให้ดอกเห็ดเจริญเติบโตโผล่ออกทางปากถุง ดูแลโดยพ่นละอองน้ำเพื่อรักษาความชื้นของก้อนเชื้อเห็ดและดอกเห็ด

4. นำเห็ดที่แห้งแล้วมาสกัดด้วยสารละลาย 80% เอทานอล วิเคราะห์ปริมาณโปรตีนด้วยวิธีแบรดฟอร์ด (Bradford's method) และวิเคราะห์ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระโดยการทำปฏิกิริยากับ 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH assay) 

เชื้อเห็ดนางรมทองที่เพาะในขี้เลื่อยเพียงอย่างเดียวซึ่งเป็นชุดควบคุม (ชุดที่ 1) ใช้เวลาในการเจริญของเส้นใยในถุงพลาสติกบรรจุวัสดุเพาะประมาณ 29 วัน และประมาณ 10 วัน สำหรับการเจริญเป็นดอกเห็ด (รูปที่ 2ก) ในขณะที่เชื้อที่เพาะในวัสดุเพาะที่เป็นขี้เลื่อยผสมกระดาษลัง (ชุดที่ 2, 3) ใช้เวลาประมาณ 50-60 วัน สำหรับการเจริญของเส้นใย และประมาณ 9-15 วัน ในการออกดอก (รูปที่ 2ข, ค)  ส่วนเชื้อที่เจริญในขี้เลื่อยผสมเปลือกมังคุด (ชุดที่ 4, 5) ใช้เวลาประมาณ 65 วันในการเจริญของเส้นใย และ 20-24 วันในการออกดอก ในขณะที่เชื้อที่เพาะในขี้เลื่อยผสมเปลือกเงาะในอัตราส่วนต่าง ๆ (ชุดที่ 6, 7) ไม่มีการเจริญของเส้นใยของเชื้อเห็ดนางรมทอง   



เมื่อทำการวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนในดอกเห็ดนางรมทองพบว่า ดอกเห็ดที่เพาะในชุดควบคุมซึ่งเพาะในขี้เลื่อยเพียงอย่างเดียวมีปริมาณโปรตีนมากที่สุดคือประมาณ 5,000 ไมโครกรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้งของเห็ดซึ่งมากกว่าชุดทดลองอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ (รูปที่ 4) รองลงมาคือปริมาณโปรตีนในดอกเห็ดที่เพาะในขี้เลื่อยผสมกระดาษลังซึ่งมีปริมาณโปรตีนเฉลี่ยประมาณ 1,800 ไมโครกรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้งของเห็ดโดยมีค่ามากกว่าโปรตีนในดอกเห็ดที่เพาะในขี้เลื่อยผสมเปลือกมังคุด (รูปที่ 4) จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า การเพาะเชื้อเห็ดในขี้เลื่อยเพียงอย่างเดียวให้ดอกเห็ดที่มีโปรตีนสูงที่สุด รองลงมาเป็นดอกเห็ดที่เพาะในขี้เลื่อยผสมกระดาษลัง ทั้งนี้อาจเนื่องจาก วัสดุเพาะดังกล่าวมีความเหมาะสมต่อเชื้อเห็ดในการใช้ประโยชน์จากแหล่งไนโตรเจนที่เป็นอาหารเสริมที่ผสมลงไป เช่น รำละเอียด จึงทำให้เห็ดที่เพาะในวัสดุเพาะที่เป็นขี้เลื่อยและขี้เลื่อยผสมกระดาษลังมีปริมาณโปรตีนมาก    


เมื่อวิเคราะห์ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของดอกเห็ดที่เพาะในวัสดุต่าง ๆ พบว่า ดอกเห็ดที่เพาะในขี้เลื่อยผสมเปลือกมังคุดที่อัตราส่วนร้อยละ 25:75 มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดโดยมีค่าประมาณ 64% ซึ่งเป็นค่าที่สูงกว่าชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (รูปที่ 5) ผลการทดลองที่ได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ Jin et al. (2018) ที่ได้รายงานว่าเห็ดนางรมที่เพาะในซังข้าวโพดผสมกากสมุนไพรมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชุดควบคุมที่เพาะในซังข้าวโพดเพียงอย่างเดียวซึ่งความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเกิดจากวัสดุที่เพาะโดยระหว่างที่มีการเติบโตของเส้นใยเห็ดจะมีการดูดซึมสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ เช่น สารประกอบฟีนอลจากกากสมุนไพรทำให้เมื่อเส้นใยเจริญเต็มที่เป็นดอกเห็ดจึงมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและมีปริมาณสารประกอบฟีนอลทั้งหมดสูง ดังนั้น ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของเห็ดนางรมทองที่เพาะในขี้เลื่อยผสมเปลือกมังคุดซึ่งมีค่าสูงที่สุดนั้นอาจมาจากเปลือกมังคุดที่ผสมลงไปในวัสดุเพาะ เนื่องจากมีรายงานการวิจัยว่าในเปลือกมังคุดมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอลฟาแมงโกสติน (alpha-mangostin) อิพิคาเทชิน (epicatechin) และโปรแอนโทไซยานิดิน ไดเมอร์ (proanthocyanidin dimer) (ศนิดา คูนพานิช, 2549; โนรี จงวิไลเกษม, 2550; Jaisupa et al., 2018) ดังนั้น เส้นใยเห็ดที่เจริญในวัสดุเพาะที่มีเปลือกมังคุดจึงมีโอกาสในการดูดซึมสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดังกล่าวจึงทำให้ดอกเห็ดนางรมทองมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงตามไปด้วย อย่างไรก็ตามความสามารถนี้ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนที่ใช้โดยการศึกษาในครั้งนี้อัตราส่วนระหว่างขี้เลื่อยและเปลือกมังคุดที่ดีที่สุดคือร้อยละ 25:75 โดยปริมาตร (รูปที่ 5)  


จากการศึกษาในครั้งนี้พบว่า การเพาะเห็ดนางรมทองในขี้เลื่อยผสมเปลือกมังคุดที่อัตราส่วนร้อยละ 25:75 โดยปริมาตรทำให้เห็ดนางรมทองมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด โดยมีประเด็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่
1. เห็ดนางรมทองที่เพาะในวัสดุผสมระหว่างขี้เลื่อยและกระดาษลัง และวัสดุผสมระหว่างขี้เลื่อยและเปลือกมังคุดให้ดอกเห็ดที่มีขนาดและน้ำหนักแห้งไม่แตกต่างจากเห็ดที่เพาะในขี้เลื่อยเพียงอย่างเดียว แต่การผสมกระดาษลังและเปลือกมังคุดลงไปในขี้เลื่อยทำให้การสร้างเส้นใยและการเจริญของดอกเห็ดช้ากว่าการเพาะในขี้เลื่อยเพียงอย่างเดียว  
2. เห็ดนางรมทองที่เพาะในขี้เลื่อยเพียงอย่างเดียวมีปริมาณโปรตีนมากที่สุด 
3. เห็ดนางรมทองที่เพาะในขี้เลื่อยผสมกระดาษลังหรือเปลือกมังคุดมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงขึ้นโดยการผสมกับเปลือกมังคุดที่อัตราส่วนร้อยละ 25:75 โดยปริมาตร มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด แต่ทำให้เห็ดมีปริมาณโปรตีนลดลง
4. เปลือกเงาะไม่เหมาะสำหรับการเป็นวัสดุเพาะเชื้อเห็ดนางรมทอง


คณะผู้วิจัยขอขอบคุณศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม สำหรับวัสดุ ความรู้และเทคนิคในการเพาะเห็ด และขอขอบคุณทุนสนับสนุนการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และทุนสนับสนุนบางส่วนจากการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 21 (YSC 2019) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี




บทความอื่นๆ

Read More

บทความ: การสร้างพฤติกรรมการคัดแยกขยะอย่างยั่งยืนด้วยแนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา กรณีศึกษาโรงเรียนสวนลุมพินี เขตปทุมวัน

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ วารสารสิ่งแวดล้อม

1

ขอบเขตของเนื้อหา

วารสารสิ่งแวดล้อม เป็นวารสารที่นำเสนอบทความวิชาการทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเนื้อหาความรู้ทางวิชาการที่ไม่เข้มข้นมากนัก เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคคลทั่วไป รูปแบบของการเขียนบทความเป็นในลักษณะดังนี้

  1. หากเป็นการนำเสนอความรู้ที่ได้จากผลงานวิจัย ควรประกอบด้วย ความสำคัญและที่มาของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการศึกษาในรูปแบบของหลักการศึกษาพอสังเขป ผลการศึกษาพร้อมการอภิปรายผลผล สรุปนำเสนอความรู้ที่ได้จากการวิจัย
  2. หากเป็นบทความเชิงวิจารณ์ บทความวิชาการ ซึ่งเรียบเรียงจากความรู้ต่าง ๆ และ ผลงานวิจัยของผู้อื่น ควรประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ การวิเคราะห์และวิจารณ์ ซึ่งมีการนำเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมถึงแนวโน้ม หรือข้อดีและข้อเสีย หรือข้อสรุปอย่างชัดเจน

2

ความยาวของบทความ

ควรมีความยาวของบทความขนาดไม่เกิน 6 หน้า (รวมรูปภาพและตาราง) โดยการใช้ font ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 Single space

3

รูปในบทความ

ให้ส่งไฟล์รูปภาพ ที่มีขนาดรูปเท่าที่ต้องการนำเสนอจริง และมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 dpi หรือ ไฟล์ภาพต้นฉบับ

  1. หากเป็นรูปที่นำมาจากแหล่งอื่นต้องอ้างอิงแหล่งที่มา
  2. หากเป็นรูปที่ถ่ายมาเอง ให้ระบุชื่อเป็นของผู้เรียบเรียงบทความ

4

การอ้างอิงทางบรรณานุกรม

กำหนดให้ผู้เขียนบทความใช้ระบบ APA 6th ed โดยการอ้างอิงในเนื้อหาเป็นแบบ “ผู้แต่ง, ปีพิมพ์” และมีวิธีการเขียนรายการเอกสารอ้างอิง ดังนี้

  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http:/.....

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการและที่ปรึกษาวารสารสิ่งแวดล้อม

เปิดรับบทความ/ข้อเขียนที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อมทุกด้าน โดยจัดส่งต้นฉบับผ่านทางระบบ Submission พร้อมระบุชื่อและนามสกุล สถานที่ติดต่อ และเบอร์โทรศัพท์ ของผู้เขียน/ผู้รับผิดชอบบทความ

  • ภุมรินทร์ คำเดชศักดิ์
  • กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
  • ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
  • นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
  • บัวหลวง ฝ้ายเยื่อ
  • ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์
  • วิไลลักษณ์ นิยมมณีรัตน์
  • วัชราภรณ์ สุนสิน
  • ศีลาวุธ ดำรงศิริ
  • อาทิมา ดับโศก

วารสารสิ่งแวดล้อม

เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม โดยจัดพิมพ์เผยแพร่ฉบับแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2539 และเริ่มเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ปีที่ 23 ปี 2562

ส่งบทความ

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เป็นวารสารที่ดูแลโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วารสารนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมออกสู่สาธารณชน ครอบคลุมในประเด็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการเมือง การจัดการของเสียและขยะ การป้องกันและควบคุมมลพิษ การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นโยบายสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

วารสารสิ่งแวดล้อมเผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถนำเสนองานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและระดับสากล วารสารนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ที่สนใจในเรื่องนี้

วารสารสิ่งแวดล้อม เผยแพร่ในแบบรูปเล่มฉบับแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และเปลี่ยนการเผยแพร่เป็นรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ผ่านเวปไซต์ https://ej.eric.chula.ac.th/ โดยดำเนินการเผยแพร่วารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม และได้รับการจัดอันดับในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ในปี พ.ศ. 2566 วารสารสิ่งแวดล้อมได้ปรับปรุงการเผยแพร่บทความ เพื่อมุ่งสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index; TCI) ที่สูงขึ้นในระดับ Tier 2 ซึ่งประกอบด้วย การปรับความถี่ในการเผยแพร่เป็น 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับปรุงการจัดส่งบทความจากเดิมที่เป็นการจัดส่งต้นฉบับทางอีเมล์ eric@chula.ac.th เป็นจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) พร้อมเพิ่มเติมขั้นตอนการประเมินบทความในลักษณะ Double blind review จากผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่านก่อนการเผยแพร่ ซึ่งการประเมินจะมีความเข้มข้นและมีระบบระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย

ISSN (PRINT) : 0859-3868
ISSN (ONLINE) : 2586-9248
ความถี่ในการเผยแพร่ : 2 เล่ม/ปี (มิถุนายน และ ธันวาคม)
สำนักพิมพ์ : สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
ฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี : Thai-Journal Citation Index (TCI), Tier 3

สำหรับสำนักพิมพ์

วารสารสิ่งแวดล้อมเป็นวารสารวิชาการที่เข้าใจถึงความสำคัญของจริยธรรมในการตีพิมพ์ทางวิชาการ ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ควรปฏิบัติตามแนวทาง “คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)” (https://publicationethics.org/) เครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ “อักขราวิสุทธิ์” จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจงหรือปฏิเสธ หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยทันที ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ วารสารจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิโดยปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review) สำหรับต้นฉบับทั้งหมดที่วารสารได้รับ

สำหรับบรรณาธิการ

บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ประเมินบทความ กองบรรณาธิการประกอบด้วยหัวหน้ากองบรรณาธิการบริหาร และกองบรรณาธิการ โดยทั่วไปหัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ กองบรรณาธิการทำหน้าที่ในการเชิญผู้ประเมินเพื่อพิจารณาบทความซึ่งจะเรียกว่าบรรณาธิการประจำบทความ และอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย กองบรรณาธิการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาการวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมตามหัวข้อต่าง ๆ ของวารสาร จากขอบเขตการวิจัยของต้นฉบับที่ส่งมา หัวหน้าบรรณาธิการจะมอบหมายต้นฉบับให้กับกองบรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการประจำบทความมีหน้าที่ส่งต่อต้นฉบับให้กับผู้ประเมินที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม และจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายสำหรับการพิจารณษบทความที่มีศักยภาพในการตีพิมพ์ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการตีพิมพ์ บรรณาธิการวารสารทุกคนควรปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้

  • บรรณาธิการจะต้องยึดถือหลักจริยธรรมในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับวารสาร
  • บรรณาธิการจะต้องเลือกผู้ประเมินที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องและไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับผู้เขียนต้นฉบับ
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ประเมินให้ผู้เขียนทราบ และในทางกลับกัน
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ จากต้นฉบับก่อนตีพิมพ์
  • ข้อมูลหรือความคิดเห็นของผู้ประเมินจะต้องเก็บเป็นความลับและไม่ควรนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

สำหรับผู้แต่ง

ผู้เขียนต้นฉบับควรจำกัดเฉพาะผู้ที่มีส่วนสำคัญต่อต้นฉบับ รวมถึงแนวความคิด การค้นคว้า การออกแบบการศึกษา การวิเคราะห์และให้บทสรุป และการเขียน นอกจากนี้ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

  • ต้นฉบับจะต้องไม่มีการตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ก่อนที่จะส่งมายังวารสารสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์บางส่วนที่รายงานในต้นฉบับที่ส่งมาได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการ จะต้องระบุและนำเสนอเป็นหมายเหตุในต้นฉบับ
  • ผู้เขียนสามารถส่งต้นฉบับไปยังวารสารอื่นได้เฉพาะเมื่อต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยวารสารเท่านั้น
  • ผู้เขียนจะต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับแล้ว
  • ผู้เขียนทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนการลอกเลียนแบบ
  • เป็นหน้าที่ของผู้เขียนในการตอบสนองต่อความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมดของผู้วิจารณ์ หากผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นใด ๆ ของผู้วิจารณ์ ผู้เขียนควรให้คำอธิบาย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบรรณาธิการประจำบทความที่ได้รับมอบหมายหรือหัวหน้ากองบรรณาธิการ
  • วารสารสิ่งแวดล้อมปฏิบัติตามนโยบายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการประพันธ์ ควรขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงผู้เขียนจากผู้เขียนทุกคน หากผู้เขียนคนใดต้องการเปลี่ยนลำดับของผู้เขียน เช่น เพิ่ม/ลบผู้เขียน หรือเปลี่ยนแปลงผู้เขียนที่เกี่ยวข้อง

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญในการตีพิมพ์ต้นฉบับ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะช่วยให้ผู้เขียนปรับปรุงคุณภาพต้นฉบับและรับประกันว่าต้นฉบับมีค่าควรแก่การตีพิมพ์และจะนำไปสู่ความรู้ทางวิชาการ นอกจากนี้ ผู้ประเมินอาจมีอิทธิพลต่อต้นฉบับขั้นสุดท้ายพร้อมกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางต่อไปนี้

  • ผู้ประเมินควรปฏิเสธคำขอตรวจสอบหากงานวิจัยของต้นฉบับไม่อยู่ในความเชี่ยวชาญของตน
  • ผู้ประเมินควรแสดงความคิดเห็นตามความเชี่ยวชาญของตนเท่านั้น และไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  • ผู้ประเมินจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลหรือผลลัพธ์จากต้นฉบับก่อนที่จะตีพิมพ์
  • ผู้ประเมินควรแจ้งบรรณาธิการหากสงสัยว่าต้นฉบับมีผลงานซ้ำกับบทความที่ตีพิมพ์อื่น ๆ